tag:blogger.com,1999:blog-65103528472856299782024-03-05T16:33:14.037-08:00สุขภาพและสมุนไพรxooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.comBlogger50125tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-82824018716714217232014-09-21T04:00:00.000-07:002014-09-21T04:00:01.741-07:00คลีนฟู้ด อีกมิติของการกินเพื่อสุขภาพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1wlWucK5RSLDPuoFEiCOHtiyI7n8OEooHCQRrhmClPS61Qs1CLFEvY7ybE6v64NW8zeKFPhXM3Ky33KF5gyWrbVNkH_d9Ug4pkQfTlTf2MSw9I8jLtNspZmsu24i83NDnlfo3pDFnnjeH/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94+%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1wlWucK5RSLDPuoFEiCOHtiyI7n8OEooHCQRrhmClPS61Qs1CLFEvY7ybE6v64NW8zeKFPhXM3Ky33KF5gyWrbVNkH_d9Ug4pkQfTlTf2MSw9I8jLtNspZmsu24i83NDnlfo3pDFnnjeH/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94+%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> ช่วงนี้กระแสนิยมของ
“คนรักสุขภาพ” กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบ 25 นาที
หรือแม้กระทั่งการกินอาหารแบบคลีนๆ (Clean Food)
ที่หลายคนรู้จักและเรียกกันจนติดปาก</strong></span><br />
<span style="color: green;"><strong> </strong></span>
<br />
<strong> </strong><strong>
อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)</strong> อธิบายว่า <strong><span style="color: darkorange;">“คลีนฟู้ด” (Clean Food)</span></strong> เป็นคำเรียกที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้เกิดความตระหนักว่า <span style="color: darkorange;">“การ
กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ มีความปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน
และกินอย่างเพียงพอ ครบ 5 หมู่ ควบคู่กับการออกกำลังกาย คือ
การนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี
เพราะการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอาหารการกินนั้นไม่เป็น
ผล”</span><br />
<br />
<strong> </strong>“อย่างที่บอกย้ำเสมอว่า
การกินอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย บวกกับการควบคุมอารมณ์ ไม่หมกมุ่น
ไม่เกิดความกังวล หาทางสลัดความเครียดออกจากตัวเองให้เร็ว
เลี่ยงเหล้าและบุหรี่ตามหลัก 3 อ 2 ส (อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย
ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่) คือสิ่งที่ทุกคนที่รักสุขภาพจะต้องยึดเหนี่ยว”<br />
<strong> </strong><br />
<strong> </strong>สำหรับคลีนฟู้ด อ.สง่าบอกว่า มีความหมายอยู่ 2 นัยยะ คือ <span style="color: blue;"><strong>“อาหารที่ไม่ปนเปื้อน” </strong></span>หมายถึง กินเข้าไปแล้ว มีประโยชน์และไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งการปนปื้อนก็มีอยู่ 3 ทางด้วยกัน คือ <strong>“ปนเปื้อนเชื้อโรค”</strong>
มีเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปปะปนในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ไม่สุก
อาหารที่ค้างคืน มีแมลงวันตอม ปรุงไม่สะอาด ก็นำมาซึ่งอาการท้องเดินได้
ต่อมา <strong>“ปนเปื้อนจากพยาธิ”</strong> เช่น การกินอาหารที่สุกๆ ดิบๆ การกินอาหารที่ไม่ระมัดระวังเรื่องความสะอาดก็มีการปนเปื้อนพยาธิได้ และสุดท้าย <strong>“ปนเปื้อนสารเคมี” </strong>เช่น
กินผักที่ไม่ได้ล้างหรือล้างไม่สะอาด มียาฆ่าแมลงปะปนอยู่
อาหารที่ใส่สีแต่ไม่ใช่สีผสมอาหาร อาหารที่มีพิษ เช่น เห็ดพิษ น้ำมันทอดซ้ำ
ถั่วลิสงที่มีอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เป็นต้น<br />
<br />
<strong> </strong><strong style="line-height: 1.6;"> </strong><span style="line-height: 1.6;">“ส่วนนัยยะที่สอง คือ </span><span style="color: blue; line-height: 1.6;"><strong>"อาหารที่ถูกหลักโภชนาการ" </strong></span><span style="line-height: 1.6;">อาจารย์
จึงอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า การตั้งคำถามว่าเราจะกินอาหารอย่างไรให้ครบ 5
หมู่ และต้องกินให้ได้สัดส่วน ปริมาณที่เพียงพอไม่มากน้อยจนเกินไป
รวมถึงมีความหลากหลาย เลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด
สุดท้ายกินผักผลไม้ให้มาก ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงคือ
การกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการในแบบที่ตรงกับคำว่าคลีนฟู้ด
เพราะฉะนั้นคำว่าคลีนฟู้ดก็คือ คำว่า อาหารปลอดภัยไม่ปนเปื้อน
อาหารถูกหลักโภชนาการนั่นเอง”</span><br />
<br />
<strong> </strong><strong> <span style="color: teal;"> </span><span style="color: green;">ทำความเข้าใจเรื่อง “อาหารถูกหลักโภชนาการ”</span></strong><br />
<strong> </strong>อาจารย์สง่าบอกเพิ่มเติมว่า
คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจคำว่าอาหาร 5 หมู่ เพียงแค่พูดกันจนติดปาก
ซึ่งหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือการคำนึงถึงสิ่งที่เราจะกินในแต่ละมื้อ
หมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ มีโปรตีน หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง คาร์โบไฮเดรต หมู่ที่ 3
เกลือแร่และแร่ธาตุ หมู่ที่ 4 ผักผลไม้ที่มีวิตามิน และหมู่ที่ 5 ไขมัน
คนมักจะท่องแล้วก็จบไม่ได้สังเกตว่าเรากินแต่ละมื้อครบหรือเปล่า...<br />
<br />
<strong> </strong>“มีวิธีสังเกตง่ายนิดเดียว ยกตัวอย่างเช่น
เรากินก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม แล้วก็กินส้มเขียวหวาน 1 ลูก
เราได้คาร์โบไฮเดรตจากเส้นก๋วยเตี๋ยว โปรตีนจากลูกชิ้นหรือหมูสับ
วิตามินแร่ธาตุจากผัก เช่น ถั่วงอกหรือผักอื่นๆ และไขมันจากกระเทียมเจียว
สุดท้ายก็กินผลไม้ แต่ในทางตรงกันข้าม
เวลาที่เร่งรีบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกน้ำร้อนก็ได้แค่คาร์โบไฮเดรต
หรือกาแฟกับปาท๋องโก๋ ก็ได้แค่ 2 หมู่ แป้งกับน้ำมัน
เพราะฉะนั้นการกินอาหารหลัก 5 หมู่ ต้องกินครบให้ได้ทุกมื้อ
ส่วนมากเราจะขาดผลไม้ ซึ่งถ้าเราขาดผลไม้ในอาหารมื้อหลัก
เราก็อาจจะทดแทนในช่วงอาหารว่างบ้างก็ได้”<br />
<br />
<strong> <span style="color: green;"> แล้วจะกินอาหารก่อนหรือหลังออกกำลังกาย?</span></strong><br />
<strong> </strong>ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพิ่มเติมว่า ตามหลักแล้วถ้าเราจะออกกำลังกาย เราจะต้องไม่กินอาหารมื้อ<span style="line-height: 1.6;">หนัก
ล่วงหน้าประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่ถ้ากินอาหารมื้อหนักไปแล้ว ห่างมาสัก 2- 3
ชั่วโมง ก็สามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้
ในทางตรงกันข้ามถ้าเราออกกำลังกายเสร็จแล้วเราไปกินมื้อหนักเป็นโอกาสที่เรา
จะอ้วนสูงมาก เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายในช่วงเช้าคือ</span><span style="line-height: 1.6;">ช่วงเวลาทีดีที่สุด
เพราะเป็นช่วงที่ยังไม่ได้รับประทานอาหาร
เมื่อเราไปออกกำลังกายใช้พลังงานจะทำให้การเผาผลาญดีขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าออกกำลังกายช่วงเย็นไม่ดี
คือสรุปแล้วให้เดินทางสายกลาง ถ้าสะดวกช่วงเช้าก็ออกกำลังกายช่วงเช้าตลอด
หรือถ้าสะดวกช่วงเย็นก็ออกกำลังกายช่วงเย็น</span><br />
<span style="line-height: 1.6;"> </span>
<br />
<strong> </strong>“ถ้าออกกำลังกายแล้วรู้สึกเพลียๆ แล้วโหย
สำคัญที่สุดคือ การดื่มน้ำเปล่าสะอาด ไม่ใช่น้ำอัดลมหรือน้ำหวาน
เพราะอุตส่าห์เบิร์นออกแล้วยังไปเอาพลังงานส่วนเกินเข้าไปอีกจะน่าเสียดาย
มาก หรือถ้าเป็นเครื่องดื่มจะดื่มนมพร่องมันเนยรสจืดหรือนมรสธรรมชาติก็ได้
แต่ถ้าจะเป็นอาหารที่หนักขึ้นมาหน่อยแนะนำเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน
แต่ไม่แนะนำอาหารมื้อหนัก เพราะหลังออกกำลังกายมากินอาหารแล้วเข้านอน
การเผาผลาญจะลดลงนั่นเอง” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกล่าว<br />
<br />
<span style="color: darkorange;"><strong> <em> ไม่ว่ากระแสการออก
กำลังกายหรือการกินอาหารแบบคลีนๆ
ที่แพร่หลายในขณะนี้จะเป็นเพียงเรื่องฮิตที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือไม่
แต่อย่างน้อยก็เป็นเรื่องน่ายินดีว่า “คนไทย”
หันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลเรื่องอาหารการกินเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง</em></strong></span><br />
<br />
<br />
<strong> <span style="color: grey;"> เรื่องโดย </span></strong><span style="color: grey;">: ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th</span><br />
<span style="color: grey;"><strong> </strong>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-41068212885609990042014-09-20T03:57:00.000-07:002014-09-20T03:57:00.510-07:00กินคลีน เทรนด์ใหม่คนรักสุขภาพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWLVa0o5oo5zc2s3DSA8qau0v0O7jQtom-HNpvjSpRMavGW-l2KXxEXQaboSuo4nHCS5zJUnn3uU06k5NfliCsdVJaij8IcWv8ZabqaS2oZCu2jhrlaUahyphenhyphenyDRzm9yInQM_muOk6hQuSKG/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWLVa0o5oo5zc2s3DSA8qau0v0O7jQtom-HNpvjSpRMavGW-l2KXxEXQaboSuo4nHCS5zJUnn3uU06k5NfliCsdVJaij8IcWv8ZabqaS2oZCu2jhrlaUahyphenhyphenyDRzm9yInQM_muOk6hQuSKG/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99+%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>
ในหมู่ของคนรักสุขภาพเดี๋ยวนี้ มักจะพูดถึงการกินคลีน อยู่เสมอ ซึ่งหลายๆ
คนฟังแล้วอาจไม่เข้าใจว่าการกินคลีนนั้นคืออะไร แล้วดีอย่างไร
และถ้าหากพูดถึงการมีสุขภาพดี
แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงแค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่กลับรวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพด้วย </strong></span><br />
<span style="color: green;"><strong> </strong></span>
<br />
<strong> วันนี้เราเลยถือโอกาสแนะนำให้รู้จักกัน</strong><br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> Eat Clean </span></strong>มี
ที่มาจากการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง
หรือผ่านกรรมวิธีการปรุงให้น้อยที่สุดอย่างผักสด ผลไม้สด
เนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงสุกแต่ไม่ปรุงแต่งรสชาติ ธัญพืช เป็นต้น
โดยส่วนใหญ่การกินคลีนมักเป็นอาหารที่เราปรุงเอง เป็นเมนูง่ายๆ ที่บ้าน
ซึ่งก็มีหลายๆ คนที่สงสัยในเรื่องของรสชาติ
ว่าอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจะอร่อยได้อย่างไร จริงๆ
แล้วเราสามารถปรุงเมนูคลีนให้ได้รสชาติอร่อยจากการดึงเอารสชาติในแต่ละวัตถุ
ดิบมารวมเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรุง<br />
<br />
<strong> </strong>อย่างการปรุง 1 เมนูคลีนๆ ให้อร่อยครบ 5 หมู่
เราอาจเลือกเนื้อไก่ต้มฉีกฝอยมาปรุงเข้ากับผักสดๆ
เพิ่มรสชาติความอร่อยทั้งเปรี้ยวและหวานจากผลไม้ลงไปอย่างแอปเปิลเขียว
มะม่วงสุก ราดด้วยน้ำมันมะกอกต่างน้ำสลัดซึ่งการปรุงนั้นไม่มกฎตายตัว
สามารถครีเอทเมนูอร่อยในแบบฉบับของตัวเองได้
นับ่วาเป็นเรื่องสนุกที่จินตนาการถึงรสชาติความอร่อยที่ได้ปรุงขึ้น<br />
<br />
<strong> </strong>กินคลีนแล้วดีอย่างไร
อาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงไม่ว่าจะผัด ทอด ตุ๋น ต้ม อบทั้งหลาย
ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง
บางคร้งยังปรุงแต่งไปด้วยเครื่องปรุงต่างๆไม่ว่าจะเป็นผงชูรส เกลือ น้ำตาล
พริกป่น รวมถึงสารตกค้างที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
การกินคลีนจึงเหมือนกับการได้ดีท็อกซ์ลำไส้
และมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
ท้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย<br />
<br />
<strong> </strong><span style="color: green;"><em> </em></span><strong><span style="color: darkorange;"><em>
นอกจากการเลือกรับประทานแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี
ต้องอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย
สุขภาพที่ดีก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม</em></span></strong><br />
<br />
<strong> </strong><br />
<strong> <span style="color: grey;"> ที่มา</span></strong><span style="color: grey;"> : หนังสือพิมพ์ M2F </span><br />
<strong> </strong><span style="color: grey;">ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-14030497497988842482014-09-20T03:56:00.000-07:002014-09-20T03:56:00.390-07:00กินชะลอวัย ไกลโรค ด้วยอาหารคลีน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWk1z_YPz9Wrz1jiOpNlHFBq8AGnMeUAHKwBopGIqOMiQTmBRQO59taK1m_NITo3veVr7IIx-idOdYQQfXvp1NWbQuRCf8wbANqGNDBeGB_5P0yp1rmb4La6jSjk9wS6sct-lEQ1sjs0_L/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2+%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84+%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWk1z_YPz9Wrz1jiOpNlHFBq8AGnMeUAHKwBopGIqOMiQTmBRQO59taK1m_NITo3veVr7IIx-idOdYQQfXvp1NWbQuRCf8wbANqGNDBeGB_5P0yp1rmb4La6jSjk9wS6sct-lEQ1sjs0_L/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2+%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84+%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%99.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> อาหารคลีน (Clean Food)
เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการและการปรุงแต่งน้อยที่สุด
หรือไม่ปรุงแต่งเลยยิ่งดีเพราะจะได้มีสัมผัสจากธรรมชาติมากที่สุด</strong></span><br />
<br />
<span style="color: darkorange;"><strong> หลักในการจัดอาหารคลีน</strong></span> มีดังนี้<br />
<strong> - </strong>ขัดสีให้น้อยที่สุด เช่น
ข้าวก็ไม่เลือกที่ขัดจนเป็นข้าวสวยขาว
ส่วนขนมปังก็ไม่เลือกแบบเนื้อนุ่มขาวจั๊วน่าอร่อย
หรือขนมแป้งขัดขาวก็ให้เลี่ยงอย่างโดนัท, คุกกี้และเบเกอรี่อื่นๆ<br />
<strong> - </strong>ปรุงแต่งเท่าที่จำเป็น เช่น
เลี่ยงการใช้น้ำมันทอดหรือผัดจนท่วม
แต่อาจเติมน้ำสลัดจากน้ำมันธรรมชาติได้ ไม่ปรุงน้ำตาล, น้ำปลา,
เกลือหรือเติมรสจัดจนทำให้รสผิดไปจากธรรมชาติมากไป<br />
<br />
<strong> เทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญท่านแนะเอาไว้โดยละเอียด </strong>7 ประการ มีดังนี้<br />
<br />
<strong> - </strong>อาหารเช้าขาดไม่ได้ (ภายใน 1 ชั่วโมงหลังลืมตาตื่น)
<br />
<strong> - </strong>แบ่งมื้ออาหารรับประทานเป็นมื้อย่อย เช่น 4 หรือ 6 มื้อต่อวัน<br />
<strong> - </strong>เลือกบริโภคโปรตีนแบบ “ไม่ติดมัน” และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีต) ทุกมื้อ<br />
<strong> - </strong>รับประทานไขมันดีทุกวัน เช่น น้ำมันปลา, ปลาทู, น้ำมันมะกอก, น้ำมันสุขภาพอื่นๆ<br />
<strong> - </strong>คุมส่วนของอาหาร (portion) ให้ดี ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่หรือรับประทานอเมริกันไซส์<br />
<strong> - </strong>รับประทานไฟเบอร์, วิตามิน, สารอาหารและเอ็นไซม์จากผักสดและผลไม้<br />
<strong> - </strong>สำคัญที่ดื่ม “น้ำเปล่า” ให้ได้วันละ 2-3 ลิตร<br />
<br />
<strong> <span style="color: red;"> ส่วนของกินที่ควร “เลี่ยง” </span></strong><span style="color: red;">นั้นมีในกลุ่มต่อไปนี้</span><br />
<strong> - </strong>แป้งขัดขาว อย่าง แป้งข้าวสาลี, ขนมปังขาว,
ปาท่องโก๋, เค้ก, คุกกี้, เบเกอรี่และอาหารที่ทำจากแป้งหรือน้ำตาล น้ำหวาน
รวมถึงน้ำตาลเทียม เครื่องดื่มหวานทุกชนิดควรเลี่ยง อย่าง กาแฟชงสำเร็จ,
กาแฟทรีอินวัน, ชาเขียวรสหวาน, น้ำอัดลม, น้ำหวานหรือแม้แต่น้ำผลไม้<br />
<strong> - </strong>แอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะไวน์, เหล้า, เบียร์, ยาดอง,กระแช่, สาโท หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ อย่างค็อกเทล<br />
<strong> - </strong>ไส้กรอก รวมถึงแฮม, เบค่อน, กุนเชียง,
หมูสวรรค์, หมูแผ่น เพราะอาหารแปรรูปเหล่านี้ มักใส่ “ไนไตรต์”
ซึ่งเป็นกลุ่มดินประสิวให้เนื้อแดงน่ากิน<br />
<strong> - </strong>ผงชูรสและซุปก้อน ควรเลี่ยงถ้าเป็นไปได้
ทางเลี่ยงง่ายๆ คือระวัง “น้ำซุป” ทั้งหลายเพราะมักใส่ผงชูรสและซุปปรุงรส
เช่น ในก๋วยเตี๋ยวน้ำ, แกงจืด, ต้มยำ, อาหารจีนโดยเฉพาะที่รับประทานนอกบ้าน<br />
<strong> - </strong>อาหารสังเคราะห์ เช่น อาหารไมโครเวฟ,
บะหมี่สำเร็จรูป, อาหารกระป๋องบางชนิด, ไอศกรีมปรุงแต่งรส,
ครีมเทียมใส่กาแฟ, เนยเทียม, เยลลี่หลากสี หรือโพรเซสชีส<br />
<strong> - </strong>ของทอดของมัน
เพราะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ซึ่งเป็น “ไขมันผู้ร้าย”
จะมีอยู่มากในอาหารกลุ่มนี้ เช่น ไก่ทอดน้ำมันท่วม, เฟรนช์ฟราย,
อาหารชุบแป้งและเกล็ดขนมปังทอด<br />
<br />
<strong> </strong>ทั้งหมดนี้คืออาหารที่ “ไม่คลีน” ในแง่ของการปรุงแต่งรส ผ่านกระบวนการขัดสีและเป็นอาหารหมักดอง ซึ่งถ้ารับประทานนานเข้าจะส่งผลให้ <strong>“อ้วน” </strong>และ <strong>“แก่เร็ว” </strong>จาก
สารเคมีสังเคราะห์ทั้งหลาย
การรับประทานอาหารคลีนคือการรับประทานที่ใกล้ธรรมชาติที่สุด
จะช่วยหยุดโรคอ้วนและสุขภาพเสื่อมแบบเร่งด่วนได้<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> คลีนฟู้ดกับ 5 สูตรเนรมิตสุขภาพดี</span></strong><br />
<strong> </strong>หากจะหาอาหารที่เข้าข่ายคลีนนั้น
ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะมีอยู่ในอาหารแบบไทยๆ เราเป็นส่วนใหญ่
ดังจะขอฝากตัวอย่างไว้ให้ชาวคนสู้โรค ได้ลองชิมกันดู ขอเน้นแบบที่ “ทำง่าย”
และประหยัดเวลานะครับ เพื่อให้สะดวกกับหลายๆ ท่าน<br />
<br />
<strong> ข้าวแกงกะหรี่ไก่คลีน </strong>เพื่อให้ท่านสะดวกสุด
ขอให้ใช้ “ก้อนแกงกะหรี่สำเร็จรูป” แบบของญี่ปุ่นใส่ลงไป ใส่ผักอย่าง
มันฝรั่ง, หัวหอมใหญ่และแอปเปิ้ลหั่นลงไป ใช้อกไก่เป็นโปรตีนหลัก
รับประทานกับข้าวกล้องร้อนๆ แสนอร่อย<br />
<br />
<strong> น้ำพริกทูน่าคลีน</strong>
แทนที่จะใช้ปลาทูทอดที่ต้องมีน้ำมันท่วมก็ใช้ “ทูน่ากระป๋อง” แทน
อนุโลมให้เป็นอาหารคลีนได้ ให้ตำน้ำพริกแบบทั่วไปแต่ “ไม่เค็มจัด”
โขลกพริก, กระเทียม, หอมเติมไป ใส่เกลือไอโอดีนแทนน้ำปลาและกะปิ
แล้วรับประทานกับผักลวก หรือนึ่ง<br />
<br />
<strong> </strong><strong>สลัดไข่คลีน</strong>
เหมือนสลัดไข่ทั่วไปเพราะไข่ถือเป็นอาหารคลีน จะเป็นไข่ต้ม,
ไข่อบหรือไข่ปิ้งก็ได้ ใส่กับผักสดตามชอบ ที่แนะนำคือ
บร็อคโคลีและมะเขือเทศ ส่วนน้ำสลัดขอให้เป็นน้ำใสหรือน้ำมันมะกอกแทนน้ำข้น
รับรองว่าไขมันลดแต่อร่อยเพิ่ม<br />
<br />
<strong> สเต็กคลีน</strong> ใช้การอบแทนการทอด ใช้การย่างได้
โดยเลือกเนื้อไม่ติดมัน เช่น อกไก่คลีน สันในหมูคลีน พอร์คช็อปคลีน
ปรุงรสได้โดยใช้พริกไทย, กระเทียมผงและใส่เกลือให้น้อย
รับประทานกับผักย่างและข้าวกล้องเป็นไซด์ดิช แทนมันฝรั่งทอด
เป็นสุดยอดอาหารสร้างกล้ามเนื้อ<br />
<br />
<strong> ไข่พะโล้คลีน </strong>สามารถดัดแปลงพะโล้ให้เป็นอาหาร
คลีนแสนอร่อยแถมเก็บไว้กินนานได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ คือใช้ผงพะโลสำเร็จได้
แต่ขอให้เลือกชนิดที่เป็น “เครื่องเทศล้วน” อย่ามีผงชูรส
หรือน้ำตาลปนเข้ามา แล้วก็หาเนื้อหมูหรือไก่แบบไม่ติดมัน
มาใส่เพิ่มในพะโล้ก็ได้ โดยเน้นว่า ไม่เติมเค็มเกินไปจากซีอิ๊ว<br />
<br />
<strong> </strong>ทั้งหมดนี้เป็นเพียงโหมโรงของอาหารคลีนบาง
ส่วนเท่านั้น
เพราะเชื่อว่าทุกท่านที่อ่านอยู่สามารถทำได้หลากหลายกว่าที่ผมแนะนำ
ยกตัวอย่างว่าอาจต่อยอดสเต็กคลีนเป็นหมูปิ้งคลีน, สเต็กปลาดอรี่คลีน
หรือปลานึ่งซีอิ๊วคลีนก็ยังได้ หรือถ้าเบื่อสลัดเพราะเคี้ยวจนกรามยืด
ก็เปลี่ยนเป็น “สุกี้คลีน”
ใส่ผักรวมไม่ใส่วุ้นเส้นแล้วผัดใส่เต้าหู้ยี้น้อยๆ ปรุงรสด้วยเกลือทะเลแทน
จะได้ไอโอดีนเพิ่ม เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้อาหารคลีนแสนถูกปาก
แถมสะดวกด้วยเพราะแม้ตามร้านอาหารตามสั่งก็ทำได้<br />
<br />
<strong> <span style="color: darkorange;"><em> ท่านสามารถทำให้ทุกจานที่เคยรับประทาน “คลีน” ได้หมดโดยไม่ต้องอดอร่อย กินคลีนบ่อย ๆ อร่อยแถมได้สุขภาพดีด้วย</em></span></strong><br />
<br />
<strong> <span style="color: grey;"> ที่มา :</span></strong><span style="color: grey;">
เว็บไซต์ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (American Board
of Anti-aging medicine) และขอขอบคุณข้อมูลจาก คนสู้โรค ไทยพีบีเอส</span><br />
<br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-91539315970493294852014-09-19T03:52:00.000-07:002014-09-19T03:52:00.665-07:00พบแบคทีเรียในผักสด แนะล้างให้สะอาด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_KiT87cqJK6kjopn2fpQVCSKYG-Ry0n2fug5oO1BBusq2BQ9DmJGFn6u_5ABgTSyqLikNVJnqlGvKkmQLsbBBFfvxCV4Un6b-gAucIK2MpdffX4Kqws3XRq51P24t60XKSkJnchl30JLo/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%94+%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_KiT87cqJK6kjopn2fpQVCSKYG-Ry0n2fug5oO1BBusq2BQ9DmJGFn6u_5ABgTSyqLikNVJnqlGvKkmQLsbBBFfvxCV4Un6b-gAucIK2MpdffX4Kqws3XRq51P24t60XKSkJnchl30JLo/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%94+%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%94.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<strong style="color: green; line-height: 1.6;"> พบแบคทีเรียในผักสด ใบเรี่ยดินเปื้อนเชื้อ แนะล้างสะอาด</strong><br />
<strong style="color: green; line-height: 1.6;"> </strong>
<br />
<strong>น.ส.พฤกษวรรณ เจตนจันทร์ นักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายจุลทรรศน์อิเล็กตรอน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) </strong>นำ
เสนอการตรวจวิเคราะห์แบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่บนผักสด
ด้วยเทคนิคจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 22 ว่า
เนื่องจากผักหลายชนิดที่นิยมรับประทานสด
เป็นพืชที่มีลักษณะลำต้นและใบเรี่ยติดผิวดิน หรือผิวน้ำ
จึงมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย อาจก่อโรคในระบบทางเดินอาหารได้
การวิเคราะห์จึงตรวจหาแบคทีเรีย ที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของผักสด 5 ชนิด คือ
ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักชี ผักกาดหอม และบัวบก จากพื้นที่ จ.นนทบุรี<br />
<br />
น.ส.พฤกษวรรณกล่าวต่อว่า การวิเคราะห์หาเชื้อแบคทีเรียบนผักสด
ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดลำแสงส่องกราด ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษ
กำลังขยายภาพสูงมาก จนมองเห็นเซลล์แบคทีเรีย
จากการวิเคราะห์พบว่าการใช้เทคนิคกล้องจุลทรรศน์
พบวัตถุที่มีขนาดและรูปร่างที่ใกล้เคียงกับเซลล์แบคทีเรียชนิดแท่ง
หมายความว่าผักใบเรี่ยดินนี้ปนเปื้อนแบคทีเรียได้ง่าย<br />
<br />
น.ส.พฤกษวรรณกล่าวว่า
การศึกษาดังกล่าวเพื่อแจ้งเตือนภัยสุขภาพ
แก่ผู้บริโภคที่นิยมรับประทานผักสด เพราะถ้าปนเปื้อนแบคทีเรีย
ที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยตามมา
ซึ่งแบคทีเรียนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
การยืนยันว่ามีแบคทีเรียอยู่จริง
จะช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงการปนเปื้อนที่อาจได้รับ
และสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการล้างผักสดให้สะอาด โดยวิธีที่แนะนำ เช่น
แช่น้ำด่างทับทิม และล้างให้ผ่านน้ำหลายๆ ครั้ง
ก็จะช่วยลดโรคที่เกิดในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ได้<br />
<br />
<span style="color: grey;"><strong> ที่มา </strong>: หนังสือพิมพ์<span style="line-height: 1.6;">ข่าวสด</span></span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-57939696264921593732014-09-19T03:50:00.000-07:002014-09-19T03:50:00.315-07:00กินผัก-ผลไม้ อิ่มสารอาหารหรืออิ่มสารพิษ?<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibvmytyJOwAsjKesOYSEcHK64YeW2ge4aEri-3UcrwSRCqF0DQpHltjkuBSIYC_9l9RHxV-TNniI43JbABf1Yx_x55oluPScH5SEoubDZ7KTtn1uLbBF4pSHn43Nyp5H2QkWKhPBHmun-A/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89+%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><span style="color: green;"><strong> ผัก ผลไม้ ที่เราซื้อมานั้น
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าปลอดภัย จากสารเคมีตกค้าง
มารู้จักสารพิษที่ตกค้างในผัก และวิธีการล้างผักเพื่อลดสารเคมีกันเถอะ</strong></span><br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: green;"><strong><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibvmytyJOwAsjKesOYSEcHK64YeW2ge4aEri-3UcrwSRCqF0DQpHltjkuBSIYC_9l9RHxV-TNniI43JbABf1Yx_x55oluPScH5SEoubDZ7KTtn1uLbBF4pSHn43Nyp5H2QkWKhPBHmun-A/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89+%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibvmytyJOwAsjKesOYSEcHK64YeW2ge4aEri-3UcrwSRCqF0DQpHltjkuBSIYC_9l9RHxV-TNniI43JbABf1Yx_x55oluPScH5SEoubDZ7KTtn1uLbBF4pSHn43Nyp5H2QkWKhPBHmun-A/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89+%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-1.jpg" height="640" width="451" /></a> </strong></span></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>
</strong></span><br />
<span style="color: grey;"> <strong> ที่มา :</strong> เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN)</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-18989934148440145202014-09-19T01:03:00.000-07:002014-09-19T01:03:00.180-07:00กินผักตำลึง ช่วยรักษาโรคเบาหวาน<span style="color: green;"><b>แนะประชาชนกินตำลึง เพราะมีประโยชน์ในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อย่างการช่วยรักษาโรคเบาหวาน</b></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJyPmWhUFYG-HuR5GW-7goLVS542WqR_-KtTUBybU7eQKVLPBbZVosBiqzvjEy5mm-xzCnuBdIdQhINyDHl5p05WwX6UVPRwK-9jDYAbWdSMNDfjT2MWiQAAs7440g_IUohGJvC1cbkJTW/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87+%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJyPmWhUFYG-HuR5GW-7goLVS542WqR_-KtTUBybU7eQKVLPBbZVosBiqzvjEy5mm-xzCnuBdIdQhINyDHl5p05WwX6UVPRwK-9jDYAbWdSMNDfjT2MWiQAAs7440g_IUohGJvC1cbkJTW/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87+%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<b> นางฉวีวรรณ ชมภูเขา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ </b>กล่าว
ว่า ตำลึง หรือที่ชาวอีสานส่วนใหญ่เรียกว่า ผักดำเนิน
นอกจากรับประทานเป็นผักใช้ประกอบอาหารได้แล้ว
ตำลึงยังมีประโยชน์ในแง่การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย เช่น <span style="color: mediumblue;"><b>ใช้ผักตำลึงช่วยรักษาโรคเบาหวาน</b></span> โดยใช้เถาแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ หรือจะใช้น้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 รอบ เช้า - เย็น จะ<span style="color: mediumblue;"><b>ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับอินซูลิน และตำลึงยังช่วยบำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย</b></span><br />
<br />
นางฉวีวรรณ ชมภูเขา กล่าวต่อไป
ว่าตำลึงเป็นพืชที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งเกิดตามธรรมชาติ
ตามเรือกสวนและยังปลูกง่าย
การบริโภคตำลึงเป็นอาหารไม่ว่าจะประกอบอาหารประเภท นึ่ง ลวก
หรือแกงกับเนื้อสัตว์อื่นๆ
ล้วนได้ประโยชน์ทั้งทางยาและโภชนาการด้วยกันทั้งสิ้น<br />
<br />
<br />
<span style="color: grey;"> <b>ที่มา:</b> สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-38348198430271299372014-09-18T03:48:00.000-07:002014-09-18T03:48:00.111-07:00พบสารต้องห้ามในส้ม สาลี่ เกษตรฯ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjn9egWEw9r5ciUBAgVCdjp6tSufg9_uWVOwrLXDsZ0XZ3ZmsbPN9xuZ3poCmFn6fzQ7Ry1JRtfg-cnfl8lWkSoCumrRLV3V4DCz1omTpCfjU2K_luivi26hpx-sKGlcS73EBS_vhBfCQas/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1+%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88+%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AF.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjn9egWEw9r5ciUBAgVCdjp6tSufg9_uWVOwrLXDsZ0XZ3ZmsbPN9xuZ3poCmFn6fzQ7Ry1JRtfg-cnfl8lWkSoCumrRLV3V4DCz1omTpCfjU2K_luivi26hpx-sKGlcS73EBS_vhBfCQas/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1+%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88+%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AF.jpg" height="189" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> กรมวิชาการเกษตร
พบตัวอย่างผักและผลไม้สดมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRL
ที่ประเทศไทยกำหนดพบสารพิษตกค้างร้อยละ 19.37</strong></span><br />
<br />
<strong>นายดำรง จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร </strong>เปิด
เผยว่า
กรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช
ตรวจสอบคุณภาพสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ สดนำเข้าผ่านด่านตรวจพืชภาคเหนือ
ภาคกลาง และภาคตะวันออก
โดยสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าผักและผลไม้สดจากด่านตรวจพืชเชียงของ
ด่านตรวจพืชเชียงแสน ด่านตรวจพืชแม่สาย ด่านตรวจพืชลาดกระบัง
ด่านตรวจพืชแหลมฉบัง และด่านตรวจพืชท่าเรือกรุงเทพ มา ตรวจวิเคราะห์พบว่า
ในสินค้าผักสดตรวจพบสารพิษตกค้างร้อยละ 19.37 โดยเฉพาะผักกาดฮ่องเต้
ตรวจพบสารพิษตกค้างสูงที่สุดถึงร้อยละ 80.00 ส่วนตัวอย่างผลไม้สดพบว่า
ส้มตรวจพบสารพิษตกค้างสูงที่สุดถึงร้อยละ 83.33<br />
<br />
นอกจากนั้น
ยังพบตัวอย่างผักและผลไม้สดมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRL
ที่ประเทศไทยกำหนด ได้แก่ ถั่วลันเตาหวานและถั่วลันเตา พบสาร cypermethin
ปริมาณสูงสุดที่พบ คือ 0.16 และ 0.10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เกินมาตรฐาน MRL
ที่ไทยกำหนดไว้ 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบสาร L-cyhalothin
ในผักกาดฮ่องเต้ 0.63 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งไทยกำหนดไว้ 0.20
มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ พบสาร ethion ในส้มถึง 1.53 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
ซึ่งไทยกำหนดไว้ 1.00 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งตรวจพบสาร methidathion
ในส้ม พบสาร endosulfan ในสาลี่ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4
ที่ห้ามใช้ในประเทศไทยด้วย<br />
<br />
ทั้งนี้แนวโน้มพืชกลุ่มเสี่ยงที่ตรวจพบสารพิษตกค้างมาก คือ
ผักกาดขาว ผักกาด ฮ่องเต้ แก้วมังกร ทับทิม บร็อคโคลี่
ที่นำเข้าทางด่านตรวจพืชลาดกระบังและด่านเชียงของ
ขณะที่ส้มและแอปเปิ้ลนำเข้าทางด่านตรวจพืชแม่สายและด่านลาดกระบัง
ตรวจพบสารตกค้างและมีแนวโน้มของสารตกค้างเพิ่มมากขึ้น
จึงต้องมีการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าผักและผลไม้สดของด่านตรวจพืชต่างๆ
เข้มงวดมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong>"กรมวิชาการเกษตร
จะนำข้อมูลที่ได้รับไปเตือนประเทศคู่ค้า เช่น จีน
พร้อมเฝ้าระวังพืชกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มในการพบสารพิษตกค้างเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามผู้บริโภค ควรระมัดระวังในการซื้อผักและผลไม้สดนำเข้ามาบริโภค
หรือก่อนที่จะบริโภคต้องล้างผักและผลไม้ให้สะอาดหรือกระทั่งมั่นใจว่า
ปราศจากสารเคมีตกค้าง เพื่อป้องกันการสะสมสารพิษในร่างกาย" </strong></span>นายดำรง กล่าว
<br />
<br />
<strong> </strong><span style="color: grey;"><strong> ที่มา: </strong>หนังสือพิมพ์แนวหน้า</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-15919333762087981892014-09-18T03:42:00.000-07:002014-09-18T03:42:00.156-07:00ข้อแนะนำสำหรับ นักวิ่งใหม่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgglHnV6G1vmLaO4vnm1N-RmD1BcSAty9Imupusux6QEc5p9u0zORAEMlE7bwrXQU6x3bwBEwyCfoHFLDzIjOG5STWcnzomyzxqI2W7kakNhgF0dljdYfDn1KqO1HMQnRZnwrlRlCasddga/s1600/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A+%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgglHnV6G1vmLaO4vnm1N-RmD1BcSAty9Imupusux6QEc5p9u0zORAEMlE7bwrXQU6x3bwBEwyCfoHFLDzIjOG5STWcnzomyzxqI2W7kakNhgF0dljdYfDn1KqO1HMQnRZnwrlRlCasddga/s1600/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A+%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong><span style="line-height: 1.6;">
สำหรับนักวิ่งใหม่ การเตรียมความพร้อมก่อนการหัดวิ่ง
เป็นเรื่องสำคัญ ควรตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น
เพื่อให้ทราบถึงข้อจำกัดและขีดความสามารถในการเริ่มออกกำลังกาย</span></strong></span><br />
<br />
<span style="color: red;"><strong> การเตรียมความพร้อม</strong></span><br />
1. ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางสรีรวิทยาและประเภทของการวิ่ง<br />
2. ศึกษาลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อให้การวิ่งเป็นไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุข<br />
3. วิ่งตามกำลังความสามารถในต้นทุนของร่างกายที่มีอยู่ ไม่ควรใจร้อนและหักโหมหรือวิ่งตามภาวะรอบข้าง<br />
4. เมื่อรู้สึกถึงอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นเช่น หน้ามืด ใจสั่น เวียนศีรษะ ตาลายหรือมีอาการบาดเจ็บควรหยุดพักทันที<br />
5. พึงท่องอยู่เสมอว่า วิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ที่เดินได้ก็วิ่งได้<br />
6. วิ่งเป็นการออกกำลังกายที่เห็นสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ถ้ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ<br />
7. วิ่งเป็นการออกกำลังกายที่สร้างสัมพันธภาพที่ง่ายและสร้างเสริมสังคมที่ดี<br />
8. เมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเอง ควรแนะนำกับคนรอบข้างให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการวิ่ง<br />
9. รักครอบครัว รักเพื่อน รักคนรอบข้าง ต้องชวนให้ทุกคนมาวิ่งออกกำลังกายเพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี<br />
<br />
<strong> <span style="color: red;"> ก่อนการวิ่ง</span></strong><br />
1. ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหนักในช่วง 2 ชม.ก่อนการวิ่ง<br />
2. ดื่มน้ำสะอาดก่อนการออกวิ่ง 30 นาที 1 - 2 แก้ว ประมาณ 100 - 200 cc.<br />
3. ค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกาย โดยการเดินสลับวิ่งเหยาะๆ
เพื่อให้อวัยวะต่างๆที่จะต้องรับกับการทำงานที่เพิ่มขึ้นเช่น หัวใจ ปอด
กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่างๆมีการเตรียมตัว
เพิ่มความยืดหยุ่นมีความคล่องตัวกระฉับกระเฉง<br />
4. เมื่อรู้สึกร้อน เหงื่อซึมเล็กน้อย มีความรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น
เริ่มเล่นกายบริหารในท่าง่ายๆสมัยเด็กๆ เช่น หมุนแขน หมุนไหล่ หมุนเอว
บริหารข้อเท้า ข้อเข่า ยืดเหยียดส่วนหลัง ลำตัว แขน ขาอย่างช้า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้<br />
5. เริ่มออกเดินและวิ่งตามโปรแกรมที่ถูกออกแบบขึ้นมาอย่างเหมาะสม<br />
<br />
<strong><span style="color: red;"> ขณะวิ่ง</span></strong><br />
1. หลีกเลี่ยงการวิ่งในที่มีแสงแดดจัด พยายามวิ่งในที่ร่มและที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี<br />
2. สวมใส่ชุดหรือเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี ไม่คับหรือหลวมเกินไปหรือเป็นชุดหนาและอบความร้อน<br />
3. จิบน้ำทีละนิด บ่อยๆตามต้องการ หรือทุก 10 - 15 นาทีในขณะที่วิ่ง อย่ารอจนรู้สึกกระหายน้ำ<br />
4. ถ้ามีอาการหน้ามืด ใจสั่น ตาลาย เจ็บหน้าอก ควรหยุดวิ่งและนอนราบกับพื้นในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเทได้ดี<br />
5. วิ่งในท่าทางที่สบาย ไม่เกร็ง ให้เป็นธรรมชาติของตัวเองมากที่สุด หายใจด้วยจังหวะที่รู้สึกถึงความสบายและผ่อนคลาย<br />
6. อย่าฝืนวิ่งเมื่อรู้สึกถึงอาการเจ็บ อ่อนเพลียหรือเมื่อยล้า<br />
7. วิ่งในสถานที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยว พื้นทางวิ่งที่ราบเรียบ ไม่ขรุขระหรือมีการสัญจรพลุกพล่าน<br />
8. หาเพื่อนไปวิ่งด้วยหรือเข้ากลุ่ม ชมรมวิ่งต่างๆ จะทำให้การวิ่งมีรดชาดและสนุกมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
<strong><span style="color: red;"> หลังการวิ่ง</span></strong><br />
1. ต้องค่อยๆ ปรับให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการวิ่งเหยาะๆและเดิน<br />
2. ยืดเหยียดเพื่อคลายกล้ามเนื้อและเล่นกายบริหารในท่าง่ายๆ<br />
3. ดื่มน้ำทีละนิดอย่างช้าๆหลังจากการวิ่งอีก 1 - 2 แก้ว ประมาณ 100 - 300 cc.<br />
4. รับประทานอาหารที่สร้างเสริมสุขภาพครบทุกหมู่<br />
5. ควรหลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์<br />
6. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึกเกิน 4 ทุ่มโดยไม่จำเป็น<br />
7. บำบัดอาการเมื่อยล้าที่อาจเกิดขึ้นจากการซ้อมตามอาการที่เกิดขึ้น<br />
8. บันทึกสถิติการฝึกซ้อมและอัตราการเต้นของชีพจรเป็นประจำทุกวัน<br />
9. เมื่อมีอาการบาดเจ็บ หรืออ่อนเพลียให้หยุดพักทันที<br />
<br />
<span style="color: grey;"><strong> ที่มา : </strong>สมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย โดย สถาวร จันทร์ผ่องศรี</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-84563318232666284802014-09-18T03:39:00.000-07:002014-09-18T03:39:00.504-07:00ออกกำลังกายดีอย่างไร <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4qADRc-JFmgj8WpHxZ9dezJfD6s4OVKSSb3k8OFB4iYUu_wE04fOFcrEJgiJXNf7NT0U6cFCM7Q1gGhRtJGchebR-_Svs8Qowrl-zKVi8SgEKeFu_4eerK_0sAuy0rAxOvfm_Yg4mrgBG/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4qADRc-JFmgj8WpHxZ9dezJfD6s4OVKSSb3k8OFB4iYUu_wE04fOFcrEJgiJXNf7NT0U6cFCM7Q1gGhRtJGchebR-_Svs8Qowrl-zKVi8SgEKeFu_4eerK_0sAuy0rAxOvfm_Yg4mrgBG/s1600/%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>ปัจจุบันการออกกำลังกายได้
รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากคนเกือบทุกเพศทุกวัย
จุดประสงค์ในการออกกำลังกายก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
บางท่านออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
ในขณะที่บางท่านออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
วิธีการออกกำลังกายของสองเป้าหมายนี้ต่างกันหรือไม่?
แล้วโดยทั่วไปควรออกกำลังกายอย่างไร?</strong></span>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<strong> “การออกกำลังกายแบบแอโรบิค” และ “การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค”</strong> ต่างกันเช่นไร หลายๆคนคงเคยได้ยินคำเหล่านี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าทั้งสองคำมีความแตกต่างกันอย่างไร<br />
<br />
<strong> การออกกำลังกายแบบแอโรบิค</strong> หมายถึง
การออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย
โดยลักษณะจะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงมากแต่มีความต่อเนื่องเช่นเดิน
วิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้นจึงเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง<br />
<br />
<strong> การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค</strong> หมายถึง
การออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยไม่อาศัยออกซิเจน
แต่จะอาศัยสารเคมีในร่างกายแทน ลักษณะจะเป็นการออกกำลังกายใช้แรงมากเช่น
วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส
เป็นต้นจึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
และให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ<br />
<br />
<strong> ออกกำลังกายมาก-น้อย แค่ไหนจึงจะมีประโยชน์ต่อหัวใจ</strong><br />
การออกกำลังกายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ
ออกกำลังกายมากพอที่จะทำให้หัวใจเต้น(หรือชีพจร)มีค่าระหว่าง 60-80%
ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจของบุคคลนั้นๆ
ซึ่งอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-อายุ(ปี)<br />
<br />
ตัวอย่าง เช่น คนอายุ 50 ปี มีอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-50 = 170 ครั้งต่อนาที ดังนั้นการออกกำลัง
กายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจ คือ ออกกำลังกายแล้วหัวใจเต้นได้
60-80% ของ 170 ครั้งต่อนาที เทียบเท่ากับ ระหว่าง 119-136 ครั้งต่อนาที<br />
<br />
บางครั้งการจับชีพจรขณะออกกำลังกายอาจไม่สะดวก ผู้ออกกำลังกายสามารถใช้การสังเกตความรู้สึกเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนได้<br />
<br />
<strong> ออกกำลังกายระดับหนัก </strong>หมายถึง ออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อยมากโดยหายใจแรงและเร็ว หรือหอบขณะออกแรง/ออกกำลังกายไม่สามารถคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยค<br />
<br />
<strong> ออกกำลังกายระดับปานกลาง </strong>หมายถึง
การออกกำลังกายหรืออกแรงจนทำให้รู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหรือเหนื่อยกว่าปกติพอ
ควรโดยหายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย หรือหายใจกระชั้นขึ้นไม่ถึงกับหอบ
หรือขณะออกกำลังกายหรือออกแรง
ยังสามารถพูดคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยคและรู้เรื่อง<br />
<br />
<strong> ออกกำลังกายในระดับน้อย </strong>หมายถึง การออกกำลังกายหรืออกแรงน้อย ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อมากกว่าปกติ<br />
<br />
นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว
ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเรื้อรังและอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยว
ข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ที่สำคัญการออกกำลังกายช่วยลดและป้องกันภาวะความเครียดทางอารมณ์ได้อีกด้วย
ดังนั้นหันมาออกกำลังกายกันเถอะค่ะ<br />
<br />
<span style="color: grey;"> <strong> ที่มา</strong>: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span><br />
xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-17994759540143542202014-09-18T03:33:00.000-07:002014-09-18T03:33:00.254-07:00คนไทยออกกำลังแค่ 10%<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIn8pzVDXYADv13ZPMBgMmE9zSRtSvTq778cIBJj-SGh4IZDyyVOiAHTxkRmbSkRRBkXzfAnbzlXLhEnWH_zIxLT9kGJekhz12xb-VrgLA1AIpHUbDuaUv3HzdDFsXaseVU8YWM2700vGJ/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIn8pzVDXYADv13ZPMBgMmE9zSRtSvTq778cIBJj-SGh4IZDyyVOiAHTxkRmbSkRRBkXzfAnbzlXLhEnWH_zIxLT9kGJekhz12xb-VrgLA1AIpHUbDuaUv3HzdDFsXaseVU8YWM2700vGJ/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> พบคนไทยออกกำลังกายต่ำ แนะสามารถปรับรูปแบบการออกกำลังกาย ให้เหมาะสมตามเวลาและสถานที่ได้</strong></span>
<br />
<strong> นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย</strong> กล่าวว่า <span style="color: purple;"><strong>จาก
การสำรวจสถานการณ์การเคลื่อนไหวออกแรง /ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของคนไทย
พบว่าอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20 มีกิจกรรมทางกายต่ำ
ส่วนการออกกำลังกายพบว่าผู้ใหญ่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที
ร้อยละ 22-24 และมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ออกกำลังกาย </strong></span>เพียงพอต่อการป้องกันและลดความเสี่ยงเกิดโรค<br />
<br />
สำหรับกลุ่มวัยทำงาน เป็นวัยที่มักมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา
ทั้งที่วัยนี้นับว่ามีความจำเป็นมาก
เพราะร่างกายต้องได้รับการรักษาและฟื้นฟูในส่วนที่สึกหรอจากการทำงาน
ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมตามเวลาและสถานที่ได้
เช่น การทำงานบ้านหรือฝึกกายบริหารแบบง่ายๆ เช่น แกว่งแขน เดินขึ้นบันได
เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น จะช่วยให้ปอด หัวใจ กล้ามเนื้อ
แข็งแรง ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากขึ้น <span style="color: mediumblue;"><strong>โดย
ควรเคลื่อนไหวออกกำลังระดับปานกลางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30
นาที และควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย และ ไม่หักโหมมากเกินไป</strong></span><br />
<br />
<span style="color: grey;"> <strong>ที่มา</strong>: มติชน</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-40393977760439221842014-09-18T03:15:00.000-07:002014-09-18T03:15:01.128-07:00เผาผลาญแคลอรีอย่างไรดี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEHwh6o84g75FHiRt3UAo0jH26OmX4dnqYfBgWp1No7k5rYKCOU71RbJYalPk89cdHVFm2WZzTxB1JHqX6Xmbrw_12ECEIp4RJoLxp3XtQe1efZiI_ZWJ5NpnOmE6ONJtocslyNgHHrnP7/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEHwh6o84g75FHiRt3UAo0jH26OmX4dnqYfBgWp1No7k5rYKCOU71RbJYalPk89cdHVFm2WZzTxB1JHqX6Xmbrw_12ECEIp4RJoLxp3XtQe1efZiI_ZWJ5NpnOmE6ONJtocslyNgHHrnP7/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5.jpg" height="212" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: #339966;"><strong> มีคำถามมาเสมอๆ
ว่าวิธีการใดเป็นการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันที่ดีที่สุด
บางคนอาจจะบอกว่าออกกำลังกายไว้ก่อน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าออกกำลังกายไม่ถูกต้อง
หรือหักโหมจนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
และไม่ได้ผลตามที่ต้องการอีกด้วยครับ</strong></span><br />
<br />
จากการศึกษาพบว่า
โปรแกรมการออกกำลังกายที่ดีและช่วยให้ได้ผลตามที่ต้องการนั้น
จะต้องทำการบริหารร่างกายแบบยกเวจ
สร้างกล้ามพื่อเนื้อเควบคู่กันไปกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินออกไปจะต้องทำ
แอโรบิกเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วการบริหารร่างกายแบบยกเวจ (weight
training) ก็สำคัญและมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี
เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วนสวยงามแล้ว
ยังมีส่วนช่วยเพิ่มมวลของกล้ามเนื้อ
ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญพลังงานหรือแคลอรีที่มากขึ้นตาม<br />
<br />
โดยถ้าเรามองเฉพาะแอโรบิกก็มีอยู่หลายวิธีที่สามารถออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญ
ไขมันหรือแคลอรีส่วนเกินออกไปได้
เช่นเดียวกันเรามักจะได้ยินคนพูดถึงการเผาผลาญไขมันจะต้องใช้วิธีการออก
กำลังกายแบบเบาๆ ไม่หนักมาก
แต่ใช้เวลานานเพื่อผลในการเผาผลาญเปอร์เซนต์ของไขมันที่มากกว่า
ความเชื่ออันนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าถ้ามีการออกกำลังกายแบบเบาๆ
ประมาณ 40–50% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ซึ่งหาได้จาก 220- อายุ
ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันมากกว่าก็จริง
แต่ถ้ามองถึงแคลอรีโดยรวมแล้วจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าการออกกำลังกาย
ที่หนัก แถมยังเปลืองเวลากว่าด้วย<br />
<br />
เช่น การเดินเร็วๆ 50–60 นาที อาจมีการเผาผลาญแคลอรีประมาณ
250–300 แคลอรี (เปรียบเทียบจากคนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม)
จะเป็นการเผาผลาญแคลอรีจากไขมันประมาณ 120–180 แคลอรี หรือประมาณ 50-60%
จากแคลอรีโดยรวม เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายที่มีความหนัก 65–80%
maximum heart rate เช่น การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 6–7
ไมล์ต่อชั่วโมงในระยะเวลาที่เท่ากันสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 700–800
แคลอรี เมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ของการเผาผลาญไขมันอาจอยู่ที่ 30–40%
เท่านั้น แต่เมื่อดูถึงปริมาณของแคลอรีที่ใช้ไปจะเผาผลาญพลังงานได้ถึง
210–320 แคลอรี
ถ้ามีการออกกำลังกายลักษณะนี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถเผาผลาญไขมันได้
ปริมาณใกล้เคียงกับการออกกำลังกายเบาๆ แต่ใช้ระยะเวลานานกว่า<br />
<br />
ดังนั้นถ้าร่างกายของเราฟิตและแข็งแรงดีสามารถออกกำลังกายได้เต็มที่
ก็ควรบริหารร่างกายแบบ aerobic exercise ที่มีความหนักมากๆ ได้เลย
ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันและแคลอรีโดยรวมได้มากเช่นกัน
นอกจากนี้การออกกำลังกายที่หนักยังมีผลทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงาน
ต่อเนื่องไปประมาณ 24–48 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกายไปแล้ว
ซึ่งการบริหารร่างกายแบบเบาๆ จะไม่เกิดผลเช่นนี้
ถ้าพิจารณาน้ำหนักของไขมันที่ต้องการกำจัดออกไป 1
กิโลกรัมจะต้องมีการเผาผลาญแคลอรีอย่างต่ำประมาณ 7,700 แคลอรี
โดยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ
ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรีให้มากอาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการ
ออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดต่างๆ ดังนี้<br />
<br />
สำหรับการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา (Interval Training)
ส่วนใหญ่แล้วจะพบเห็นโปรแกรมลักษณะนี้ในเครื่องออกกำลังกายแบบ cardio
ชนิดต่างๆ มีตั้งแต่โปรแกรม interval
ธรรมดาไปจนถึงโปรแกรมที่มีลักษณะของความหนักเบาที่แตกต่างกันออกไป เช่น
heart rate interval, trail blazer, alpine หรือแม้แต่โปรแกรม fat loss
ก็เป็น interval training เช่นเดียวกัน
โดยการออกกำลังกายที่มีความหนักสลับเบานี้มีผลทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความ
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้มากขึ้นตาม<br />
<br />
Circuit Training: เป็นการออกกำลังกายแบบ weight training
หรือ cardio machines เพียงอย่างเดียว หรือผสมผสานกันไประหว่างอุปกรณ์ทั้ง 2
แบบ ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้สามารถเผาผลาญได้ตั้งแต่ 10–12
แคลอรีต่อนาทีขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกายด้วย) การเพิ่ม
stations หรือสถานีเข้าไปยิ่งเพิ่มระยะเวลาทั้งหมดในการออกกำลังกาย
จะสามารถเพิ่มแคลอรีได้มากขึ้นตาม และสามารถกำหนดให้มีได้ตั้งแต่ 4–12
สถานี ถ้าสถานีไม่มากสามารถทำซ้ำได้ 2–3 รอบ
หรือถ้ามีจำนวนสถานีมากอาจทำแค่รอบเดียวก็ได้<br />
<br />
Body Attack:
เป็นแอโรบิคคลาสที่เพิ่มความทนทานและความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย
ซึ่งโปรแกรมหลักของคลาสนี้ก็เป็นลักษณะของ interval training
โดยช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี ในคลาสนี้เมื่อออกกำลังกายครบ 45
นาทีสามารถเผาผลาญได้ถึง 500–550 แคลอรี<br />
<br />
Body Pump:
การออกกำลังกายลักษณะนี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระชับ เพิ่มความแข็งแรง
และความทนทานกล้ามเนื้อให้ได้สัดส่วนที่สวยงามแล้ว
เนื่องจากคลาสนี้เป็นการยกน้ำหนักในขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิค
จึงช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
RPM หรือ Spinning: เป็นแอโรบิคคลาสที่ใช้การปั่นจักรยาน
สามารถเผาผลาญได้มากประมาณ 600–800 แคลอรี ในระยะเวลาประมาณ 45 นาที
ถือว่าเป็นคลาสที่ช่วยในการลดไขมันได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
การเผาผลาญแคลอรีไม่เพียงแต่เกิดจากการออกกำลังกายเท่านั้น
แต่ระหว่างที่คุณทำกิจกรรมต่างๆ
ในแต่ละวันก็สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้เช่นเดียวกัน
ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะเวลาของการทำกิจกรรมนั้น เช่น การล้างรถ
ร่างกายจะเผาผลาญประมาณ 112–150 แคลอรี ภายใน 30 นาที
ดังนั้นถ้าเราต้องการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีในแต่ละวันให้มากขึ้น
ก็ควรเพิ่มหรือทำกิจกรรมในแต่ละวันให้มากขึ้น อย่านั่งเฉยๆ
ดูทีวีเพียงอย่างเดียวนะครับ
จะได้ช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยต่างๆ มาเบียดเบียนครับ<br />
<br />
<span style="color: grey;"><strong> ที่มา : </strong>เว็บไซต์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดย สมพัฒน์ จำรัสโรมรัน ที่ปรึกษาด้านการออกกำลังกาย</span><br />
<br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-74816540681987992032014-09-17T03:46:00.000-07:002014-09-17T03:46:00.185-07:00การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgDdhwrcLW__sLN_OfvJ_Yd0eJIkeIukZDmQvnV45YUzFW7kEUi6fkJFZuxy2hxMdie6lmaizYqN4kjwmz6IHtDlvGWQ6ZRztBYlzmBGrgELgLWI77ly4AW98r-Sz79jN8qBeozfi4825g/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgDdhwrcLW__sLN_OfvJ_Yd0eJIkeIukZDmQvnV45YUzFW7kEUi6fkJFZuxy2hxMdie6lmaizYqN4kjwmz6IHtDlvGWQ6ZRztBYlzmBGrgELgLWI77ly4AW98r-Sz79jN8qBeozfi4825g/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" height="179" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>
การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น
การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ
การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style)
ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ
การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ
ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง
เป็นต้น</strong></span>
<br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น
การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน
ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ การทำโยคะ
การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และ<span style="color: mediumblue;"><strong>ที่สำคัญ
มาก ๆ คือ จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ
ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา
มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ</strong></span><br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> <span style="color: brown;"><strong> วิธีการออกกำลังกาย</strong></span></span><br />
การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจะต้องให้กล้ามเนื้อหลักๆ
หรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า
ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ
รวมทั้งปอดและหัวใจ<br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> <span style="color: purple;"><strong> ประโยชน์ของการออกกำลังกาย </strong></span></span><br />
1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ
หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ
การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น<br />
2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม
(Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์
ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น<br />
3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น
สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี
รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน<br />
4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น<br />
6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น<br />
7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย
เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น
ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ
ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไป<span style="line-height: 1.6;">สู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้</span><br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> <span style="color: mediumblue;"><strong> เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย</strong></span></span><br />
เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้ารีบ<span style="line-height: 1.6;">เร่ง
ไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด
ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้
ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน</span><br />
<span style="line-height: 1.6;"> </span><br />
ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย
ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น.
ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน
และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว
ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น<br />
<br />
ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง
ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน
แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี<br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> <span style="color: brown;"><strong> ระยะเวลาในการออกกำลังกาย</strong></span></span><br />
ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง
เรื่องนี้ก็เช่นกัน
ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย
มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ<br />
แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30
นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที
แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30
นาที ก็ได้<br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> <span style="color: mediumblue;"><strong> การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย</strong></span></span><br />
<span style="line-height: 1.6;"> รองศาสตราจารย์ นายแพทย์
อภิชาติ อัศวมงคลกุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด
มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า
ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด
แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็น</span><span style="line-height: 1.6;">โรค
หัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย
นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี
ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม</span><br />
<br />
<span style="line-height: 1.6;"> ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้</span><br />
<span style="line-height: 1.6;">1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก</span><br />
2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค<br />
3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม<br />
<br />
หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน
และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับ
การออกกำลังกาย<br />
<br />
1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น
ดื่มนม โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก)
หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้<br />
2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ
ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที
เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น
หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น<br />
3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ<br />
4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที
ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ
จึงหยุดการออกกำลังกาย<br />
<br />
ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยรวมจะได้แข็งแรง สุขภาพดี
จิตใจดี อารมณ์ดี ความเครียดลดลง โรคภัยจะได้ไม่มาเยี่ยมกรายเรา<br />
<br />
<br />
<span style="color: grey;"> <strong> ที่มา</strong>: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-3799473234900545792014-09-17T03:31:00.000-07:002014-09-17T03:31:00.327-07:00ถอดรหัสการออกกำลังกายแบบ 25 นาที ยอดฮิต<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRbUeaC9B8vs4okruD8xSKDD5JNu-GPbbbItNBRTA_C2AztEEw6BgB0JeA9V71luoKfpu11sNac5lGD21omc_ofj4PvMb0ditPB1dBngb95Qm_sUIk9hl2OzOD3ID-LAXQYlr4w-KjaTnn/s1600/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A+25+%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5+%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRbUeaC9B8vs4okruD8xSKDD5JNu-GPbbbItNBRTA_C2AztEEw6BgB0JeA9V71luoKfpu11sNac5lGD21omc_ofj4PvMb0ditPB1dBngb95Qm_sUIk9hl2OzOD3ID-LAXQYlr4w-KjaTnn/s1600/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A+25+%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5+%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> ช่วงนี้ไปไหนใครๆ
ก็พูดถึงโปรแกรม “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” หรือการออกกำลังกายแนวใหม่
ที่กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้กระทั่งดารา
และกลุ่มคนรักการออกกำลังกาย จากจุดเด่นที่ใช้เวลาออกกำลังกายเพียง 25
นาทีต่อวันเท่านั้น ประจวบเหมาะกับในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ
และออกกำลังกายกันมากขึ้น ยิ่งทำให้กระแสของ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”
ทวีคูณไปกันใหญ่ </strong></span><br />
<div style="text-align: center;">
<strong> </strong></div>
<strong> </strong><strong> เรามาลองทำความรู้จัก “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”</strong> กันเลย<br />
<strong> <span style="color: darkorange;"> “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”</span></strong> โปรแกรม
การออกกำลังกายใหม่ ที่ใช้เวลาเพียง 25 นาทีในหนึ่งวันเท่านั้น
แต่ได้ประสิทธภาพเทียบเท่าการออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เพราะแต่ละท่ามาแบบจัดเต็ม ใช้ทุกสัดส่วนของร่างกายเป็นหลัก
โดยมีไอเดียการออกแบบจากเทรนเนอร์มากประสบการณ์ Shaun T
เจ้าของโปรแกรมการออกกำลังกาย Insanity ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่ง Shaun T
โดดเด่นในความสามารถที่ทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกสนุก อิน
และมีอารมณ์ร่วมกับเทรนเนอร์ เหมือนอยู่ด้วยกันจริงๆ<br />
<br />
<strong> </strong>ส่วนสำคัญที่ทำให้ “การออกกำลังกายแบบ 25
นาที” เป็นที่ถูกอกถูกใจคนรักสุขภาพทั่วไป
เป็นเพราะความสะดวกจากการใช้เวลาต่อวันเพียงแค่ 25 นาทีเท่านั้น
กลุ่มผู้ใช้จึงเป็นวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ
ที่มีเวลาออกกำลังกายค่อนข้างน้อย จึงประหยัดเวลา และสามารถเล่นที่ไหนก็ได้
ออฟฟิศ บ้าน เล่นกันได้ทั้งครอบครัว ทุกเพศวัย แถมใช้พื้นที่ไม่เยอะ
บวกกับอุปกรณเสริมอีกเล็กน้อยเท่านั้น<br />
<br />
<strong> </strong><strong>ตวงรัตน์ ไทยหอมหวล นักกายภาพบำบัดและผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุปกรณ์ทางแพทย์ </strong>กล่าว
ถึง “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ว่า หากจะเปรียบเทียบการออกกำลังแบบปกติ
“การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ในแบบวันต่อวันคงไม่ได้
เพราะปกติคนเราต้องออกกำลังกายวันละ 30-45 นาที เป็นอย่างน้อย หรือ 3
ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ถูกเซ็ตเอาไว้แล้ว
ด้วยการออกกำลัง วันละ 25 นาที และ 5 วันต่อสัปดาห์
ทำให้ผลลัพธ์อยู่ในระดับพอๆ กัน ซึ่งในแต่ละเซ็คชั่นของ “การออกกำลังกายแบบ
25 นาที” มีการวางโปรแกรมให้การออกกำลังกายที่พอเหมาะ และถูกทดสอบมาแล้ว
จึงไม่ใช่การหักโหม แต่อยู่ที่ความพร้อมของผู้เล่นมากกว่า<br />
<br />
<strong> <span style="color: red;"> </span></strong><span style="color: red;">ซึ่งข้อจำกัดตรงนี้่ คือ <strong>ผู้เล่นต้องไม่เป็นโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคความดันสูง-ต่ำ</strong>
เพราะ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”
มีท่าการเต้นที่ค่อนข้างเร็วและต่อเนื่อง ต่างจากการเต้นแอโรบิค
ที่มีการไล่ท่าตามลำดับหนักเบา โดยคำแนะนำของการเล่น “การออกกำลังกายแบบ 25
นาที” ผู้เล่นควรมีสภาพร่างกายที่พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ
โดยในเทปมีการวอร์มอัพอยู่ในตัว จึงพร้อมสำหรับการออกกำลังกายจริงๆ
แต่เรื่องจะได้ผลลัพธ์ตามที่โฆษณาไว้หรือเปล่า อยู่ที่ตัวผู้เล่น
การทำท่าต่างๆ ต้องทำแบบเต็มที่ จริงจัง ถึงจะเห็นผล</span><br />
<br />
<strong> </strong>สำหรับประเด็นกระแสยอดนิยมของ
“การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ตวงรัตน์มองว่า
เป็นเรื่องของการทำการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยคีย์เวิร์ด "ออกกำลังกายภายใน 25
นาที" ทำให้คนที่เวลาน้อย และไม่สะดวกไปกำลังกายนอกสถานที่
มีความสนใจในตัวโปรแกรม “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” มากขึ้น
และการประชาสัมพันธ์ที่ทันสมัย มีการบอกต่อในสังคมออนไลน์
จึงทำให้ผู้คนอยากลองใช้ แถมค่าใช้จ่ายไม่แพงด้วย<br />
<br />
<strong> </strong>เมื่อมาดู “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”
แบ่งการออกกำลังกายทั้งหมดเป็น 3 เฟสด้วยกัน เริ่มจาก Alpha
เป็นเซ็คชั่นที่ออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนในเวลา 5
สัปดาห์แรก เป็นการฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนลุยต่อในเฟสที่สอง Beta
กับระยะเวลา 5 ที่เหลือ โดยเซ็คชั่นนี้เป็นการออกกำลังในส่วนกลางของลำตัว
หรือส่วนหน้าท้องทั้งหมด ก่อนปิดท้ายด้วย Gamma เป็นการรวบรวมทั้ง 3
เฟสเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละเฟสมีตารางรายละเอียดการออกกำลังกายดังนี้<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> 1.Cardio</span></strong><br />
<strong> </strong>เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายตาม
เทรนเนอร์เต้นหนักติดต่อกันนาน 25 นาที
ไม่มีหยุดพักโดยโปรแกรมนี้จะเน้นให้ขยับแขน-ขาอย่างเร็ว
เพื่อให้หัวใจเต้นแรง ตามแบบแบับ Cardioซึ่งเน้นการเต้นของหัวใจ
และช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงที่สำคัญยังช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้
เยอะทีเดียว<br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong> 2.Speed 1.0</strong></span><br />
<strong> </strong>เร่งจังหวะขึ้นมากับ
Speed1.0เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายแบบเร็วๆ
มีมูฟเมนท์มากขึ้นมีการผสมผสานท่าออกกำลังกายแบบแดนซ์มันๆ
ได้ขยับทุกสัดส่วนของร่างกายสามารถเบิร์นไขมันออกได้เพียบ<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> 3.Total Body Circuit</span></strong><br />
<strong> </strong>เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆมี
ท่วงท่าแอโรบิกผสมผสานโยคะ บวกกับยิมนาสติกเบาๆ
โปรแกรมนี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอาศัยแค่ความอดทนของผู้เต้นเท่านั้นเช็ค
ชั่นนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อท้องได้แบบเต็มๆ<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> 4.AB Intervals</span></strong><br />
<strong> </strong>การออกกำลังกายเซ็ตนี้จะได้กล้ามเนื้อบริเวณ
หน้าท้องเป็นพิเศษความหนักห่วงของโปรแกรมนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจแรง
และเร็วมากแม้เราจะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็ตามเป็นเพราะเทรนเนอร์ต้อง
การให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายพร้อมกับให้บริหารกล้ามเนื้อหัวใจไปด้วย<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> 5.Lower Focus</span></strong><br />
<strong> </strong>เซ็ตนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากลดต้นขากระชับ
ให้เรียวเล็ก โดยจะเน้นบริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง
ตั้งแต่สะโพกยันปลายเท้าใครที่เต้นตามอาจเมื่อยขาสุดๆ
แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะต้องน่าพอใจแน่นอน<br />
<br />
<strong> <span style="color: blue;"> 6.Stretch</span></strong><br />
<strong> </strong>ปิดท้ายด้วยท่ายืดกล้ามเนื้อเบาๆหลังจากที่
ลุยทั้ง 5
เซ็คชั่นมาอย่างหนักหน่วงท่วงท่าเซ็ตนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายความตึง
เครียดโดยจะใช้อุปกรณ์เสริมแค่เบาะรองกับรองเท้าผ้าใบสามารถเรียกเหงื่อและ
คลายความเมื่อยล้าได้ปลิดทิ้ง<br />
<br />
<strong> <em><span style="color: darkgreen;"> Beta Cycle</span></em></strong><br />
<strong> </strong>หลังจากผ่าน 5 สัปดาห์แรกมาแล้ว ในส่วนของ
Beta
จะเน้นการออกกำลังกายบริเวณส่วนกลางลำตัวและหน้าท้องโดยโฟกัสไปที่ความแข็ง
แรงของกล้ามเนื้อ ประกอบด้วย 5เซ็คชั่นดังนี้<br />
<br />
<strong> 1.Cardio</strong><br />
<strong> </strong>จัดหนัก จัดเต็มกว่า 5สัปดาห์แรก
แต่ยังคงพื้นฐานเดียวกันกับ Alpha
คือเน้นบริหารกล้ามเนื้อหัวใจแต่เพิ่มท่าบริหารกล้ามเนื้อท้องเสริมเข้ามาใน
เซ็คชั่นนี้ ท่า PlankDiagonal Lift
มีลักษณะคล้ายท่าวิดพื้นแต่ยกแขะและขาขึ้นอย่างละข้าง
ซึ่งเราต้องพยายามทรงตัวให้ได้เป็นการเกร็งกระชับกล้ามเนื้อทั้งส่วนแขนและ
ขา<br />
<br />
<strong> 2.Speed 2.0</strong><br />
<strong> </strong>จาก 1.0
คูณสองเข้าไปแต่ยังคงแพทเทิร์นด้วยท่าเต้นจังหวะเร็วๆ สนุกๆ
เน้นท่วงท่าที่สนุกสนานเร้าอารมณ์จนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว
โดยชีพจรจะเต้นแรงใครที่ชอบท่าเต้นสไตล์โคฟเวอร์ แผ่น Speed
2.0จะต้องถูกใจแน่ๆ<br />
<br />
<strong> 3.Rip′T Circuit</strong><br />
<strong> </strong>ท่านี้มีอุปกรณ์เข้ามาช่วยเล็กน้อยเป็นดัม
เบลขนาดเหมาะมือ
หากดัมเบลน้ำหนักเยอะกล้ามก็ยิ่งขึ้นชัดเจนโดยจะเต้นแบบคาร์ดิโอ
ตามด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ขา
และหน้าท้องก่อนวนกลับไปเต้นคาร์ดิโออีกรอบ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 25นาที
ชิลๆ ไม่หนักหนาสาหัส แต่ก็เรียกเหงื่อและเบิร์นแคลอรี่ได้ดีทีเดียว<br />
<br />
<strong> 4.Dynamic Core </strong><br />
<strong> </strong>เน้นใช้พละกำลังของร่างกายเป็นหลัก
โดยจะได้บริหารกล้ามเนื้อส่วนกลางลำตัวทั้งด้านหน้าและหลัง มีท่า Side
Plank ที่ต้องนอนตะแคง และเท้าแขนไว้ข้างหนึ่ง เหยียดขาให้สุดตรง
ยกลำตัวขึ้นลงไปมา<br />
<br />
<strong> 5.Upper Focus</strong><br />
<strong> </strong>เน้นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน
ใช้กำลังแขนเป็นหลัก เพื่อกระชับต้นแขนและส่วนไหล่
มีดัมเบลขนาดน้ำหนักพอเหมาะเป็นอุปกรณ์เสริม แต่ควรใช้น้ำหนักที่พอดี
ไม่อย่างนั้นกล้ามขึ้นแน่ๆ<br />
<br />
<strong> 6.Stretch</strong><br />
<strong> </strong>ส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยจะคล้ายๆ ในส่วนของ Alpha คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยิดเส้นยืดสาย หลังจากออกกำลังหนักๆ มาตลอด 5 เซ็คชั่น<br />
<br />
<strong> </strong>นอกจากการออกกำลังกายแล้ว
เอฟเฟกต์จากการเล่น T25 ยังทำให้เรามีระเบียบวินัยในการควบคุมอาหาร
โดยการหันมากินอาหารคลีนเพื่อสุขภาพควบคู่ไปด้วย
ซึ่งทำให้สามารถป้องกันจากโรคต่างๆ ทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทาน
ปรับสมดุลในร่างกายให้ดีขึ้น ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เลือดลมไหลเวียนดีกว่าตอนไม่ได้ออกกำลังกาย แถมกล้ามเนื้อแข็งแรง
กระฉับกระเฉงมากขึ้น<br />
<br />
<strong> <em> </em></strong><em>เท่านี้ก็น่าจะรู้จักกับเจ้า
“การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ในระดับหนึ่งแล้ว หากใครที่สนใจ
เตรียมฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนลุย เพราะท่วงท่าและโปรแกรมต่างๆ
ค่อนข้างจัดเต็ม หนักหน่วง แต่ขอให้จริงจังกับการออกกำลังกาย ทานอาหาร
ควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย และพักผ่อนให้เพียงพอ
แค่นี้ก็ทำให้เรามีรูปร่างที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว</em><br />
<br />
<br />
<strong> <span style="color: grey;"> ที่มา : </span></strong><span style="color: grey;">เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"><strong> </strong>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span><br />
xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-25091937006640082222014-09-17T03:20:00.000-07:002014-09-17T03:20:00.043-07:00การออกกำลังกายในวัยต่างๆ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4az9stpiBbQtmKsApnVNX4XGJjPAvLUAn-exBqKsq7xrb7Vi29tHUw2HdN0YlCMYGST5A-Amco4KxZojY16AsNi2yiOH4Ez_zd_noDuM1WhHf1E89o1YYD2X-ft92sH-G1JXyqibT2ClP/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4az9stpiBbQtmKsApnVNX4XGJjPAvLUAn-exBqKsq7xrb7Vi29tHUw2HdN0YlCMYGST5A-Amco4KxZojY16AsNi2yiOH4Ez_zd_noDuM1WhHf1E89o1YYD2X-ft92sH-G1JXyqibT2ClP/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86.jpg" height="208" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong> การออกกำลังกายตามวัยแต่ละวัย
ควรทำอย่างเหมาะสมทั้งวัยเด็ก และวัยสูงอายุ เพื่อชะลอการเสื่อมของร่างกาย
และส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ของร่างกาย </strong></span><br />
<span style="color: green;"><strong> </strong></span>
<br />
วัยเด็กเป็นวัยที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์
สังคม และสติปัญญา การออกกำลังกายจะช่วยส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ของร่างกาย
เช่น ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบข้อต่อต่างๆ
รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กได้อีกด้วย<br />
<br />
<span style="color: purple;"><strong>หลักของการออกกำลังกายในวัยเด็ก</strong></span><br />
1. กิจกรรมการออกกำลังกาย ได้แก่ วิ่ง เล่นกีฬาต่างๆ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิส แบดมินตัน ว่ายน้ำ เป็นต้น<br />
2. ความหนักของการออกกำลังกาย โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 60-80 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด<br />
3. ความนานของการออกกำลังกาย ใช้เวลา 20-60 นาที<br />
4. ความบ่อยของการออกกำลังกาย 3-5 วันต่อสัปดาห์<br />
<br />
<span style="color: brown;"><strong> ข้อแนะนำในการออกกำลังกาย</strong></span><br />
1. กิจกรรมการออกกำลังกาย ควรเน้นความสนุกสนาน รูปแบบที่ง่ายๆ<br />
2. ควรคำนึงถึงความปลอดภัย ไม่หนักเกินไป<br />
3. ควรจัดกิจกรรมในลักษณะค่อยๆ เพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังกายจนถึงระดับหนักปานกลาง<br />
4. ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย และผ่อนร่างกายหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง<br />
5. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ควรใช้กิจกรรมลุกนั่ง ดันพื้น โหนบาร์ ยกลูกน้ำหนักที่ไม่หนักมาก<br />
<br />
<span style="color: purple;"><strong> ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย</strong></span><br />
1. เมื่อเด็กไม่สบายมีไข้ ตัวร้อน ไม่ควรออกกำลังกาย<br />
2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการปะทะกระทบกระเทือนหรือใช้ความอดทนมากเกิดไป<br />
3. สภาพอากาศร้อน มีแสดงแดดมาก ควรหลีกเลี่ยงหรือต้องให้เด็กดื่มน้ำเป็นระยะๆ<br />
<br />
<span style="color: maroon;"><strong> การออกกำลังกายในวัยผู้สูงอายุ</strong></span><br />
วัยผู้สูงอายุเป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมสภาพลง
การออกกำลังกายจะช่วยชะลอการเสื่อมของร่างกายได้
รักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ยืดอายุของชีวิต
และช่วยพัฒนาร่างกาย ดังนี้<br />
1. ความดันโลหิตลดลง<br />
2. อัตราการเต้นของหัวใจลดลง<br />
3. ปอดทำงานได้ดีขึ้น<br />
4. ข้อต่อต่างๆ จะแข็งแรงขึ้น<br />
5. กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น<br />
6. ป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ คอเลสเตอรอลสูง<br />
<br />
<span style="color: purple;"> <strong> ความหนักของการออกกำลังกาย</strong></span><br />
1. ความเหนื่อยเบาถึงปานกลางหรือ 50-70 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด<br />
<br />
<span style="color: mediumblue;"><strong> ความนานของการออกกำลังกาย</strong></span><br />
1. อบอุ่นร่างกาย และยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 5-10 นาที<br />
2. ออกกำลังกายติดต่อกัน 15-35 นาที<br />
3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 5-10 นาที<br />
<br />
<span style="color: purple;"><strong> ข้อแนะนำการออกกำลังกาย</strong></span><br />
1. เริ่มต้นออกกำลังกายจากช้าไปหาเร็ว เช่น เดินช้า และเดินเร็ว ขึ้นเรื่อยๆ<br />
2. เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น มีอาการปวดเข่า ปวดหลัง ควรเลือกกิจกรรมในน้ำ ขี่จักรยาน การบริหารข้อเข่า<br />
3. ไม่ควรกลั้นหายใจในการออกกำลังกาย<br />
4. เลือกกิจกรรมที่ทำติดต่อได้อย่างสม่ำเสมอ<br />
5. เลือกกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสนุกสนาน<br />
6. ควรมีเพื่อนหรือคนในครอบครัวร่วมออกกำลังกายด้วย<br />
7. เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะ ตามัว หูอื้อ ใจสั่น หายใจไม่ทัน เจ็บหน้าอก ต้องหยุดการออกกำลังกายทันที<br />
8. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด <br />
<br />
<span style="color: grey;"> <strong>ที่มา</strong>: คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชุมพร</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-80082376705015843102014-09-17T03:09:00.000-07:002014-09-17T03:09:00.267-07:00งาขี้ม่อน คุณภาพคับแก้ว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS6sY5aI5JLAfo55YrnmCN6ioNCNlofgtGQeaUWVkAXSCRN1mJY6hQHbGcjUU7FbgCk7JICZ7ZUKtAsH2rqxZoxgVIQv0l392K1Oj0AIk8RIuHNgRdQRcUqNi71RMxKcRRFdpKPGaEVZhM/s1600/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99+%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjS6sY5aI5JLAfo55YrnmCN6ioNCNlofgtGQeaUWVkAXSCRN1mJY6hQHbGcjUU7FbgCk7JICZ7ZUKtAsH2rqxZoxgVIQv0l392K1Oj0AIk8RIuHNgRdQRcUqNi71RMxKcRRFdpKPGaEVZhM/s1600/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99+%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7.png" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<strong><span style="color: green;"> หากใครที่เป็นชาวเหนือ คงจะรู้จัก “งาขี้ม่อน” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก มีของดีเม็ดเล็กๆ จะมากระซิบบอกกัน</span></strong>
<strong></strong><br />
<br />
เพราะ <span style="color: blue;"><strong>“งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน”</strong> </span>มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ก่อนอื่นนั้น เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักเจ้างาขี้ม่อนกันก่อน<br />
<br />
“งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” <strong><span style="color: #ff6600;">เป็นพืชจำพวกเดียวกับกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก</span></strong>
พบว่าปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว
เมล็ดของงาขี้ม่อนจะมีขนาดเล็กๆ กลมๆ ขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดงา
คนภาคเหนือจะนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ทำเป็นงาขี้ม่อนแผ่น (คล้ายๆ
กับถั่วตัด) นำไปคั่ว นำไปคลุกกับข้าวเหนียว
หรือผสมกับข้าวหลามเป็นข้าวหลามงาขี้ม่อน
แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นชางาขี้ม่อน หรือในช่วงหลังๆ
มีการดัดแปลงนำมาทำเป็นคุกกี้งาขี้ม่อน ทำให้สามารถหากินได้ง่ายมากขึ้น<br />
<br />
<strong><span style="color: purple;"> “งาขี้ม่อน”
มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยวิตามินบี
และมีสารเซซามอล
ที่เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งและทำให้ร่างกายแก่ช้าลง</span></strong><br />
<br />
สรรพคุณของงาขี้ม่อน หากกินเมล็ดจะ<strong><span style="color: #339966;">ช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องผูก ลดไขมันในเลือด </span></strong>ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วย<strong><span style="color: #ff6600;">ต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา เป็นยาระบาย ลดบวม ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์</span></strong><br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาล่าสุด พบว่า ในน้ำมันงาขี้ม่อน <strong><span style="color: blue;">มีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย</span></strong>
หากพูดถึงโอเมก้า 3
หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีสรรพคุณช่วยบำรุง
สมอง แต่คนที่อยู่ตามยอดดอยต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลทะเล ก็ไม่ได้ขาดโอเมก้า 3
เพราะว่าได้รับมาจากงาขี้ม่อนนั่นเอง<br />
<br />
<span style="color: grey;"><strong>ที่มา:</strong> ASTVผู้จัดการออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-20141484149626141492014-09-17T03:02:00.000-07:002014-09-17T03:02:00.209-07:00คุณประโยชน์จากข้าวกล้อง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnhYhj2c7kIYydz4KJSgqGHLiq5qOcZyUBIg0_uc79wakoRtSuVM9rXvKdD3xa07pyXKZDA-Ub9plrAeYX6aIC1jhPM6t5Vmdsin1TskEaTNBKj_xngJuTCapvnhagJky5BWuGIbkDEGY5/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnhYhj2c7kIYydz4KJSgqGHLiq5qOcZyUBIg0_uc79wakoRtSuVM9rXvKdD3xa07pyXKZDA-Ub9plrAeYX6aIC1jhPM6t5Vmdsin1TskEaTNBKj_xngJuTCapvnhagJky5BWuGIbkDEGY5/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>
หากเรารับประทานข้าวกล้องจะได้ วิตามินบีรวม
ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ
โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร ได้วิตามินบี 1</strong></span><br />
<br />
หากเรารับประทานข้าวกล้องจะได้ วิตามินบีรวม
ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ
โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร ได้วิตามินบี 1
ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ ได้วิตามิน บี 2
ป้องกันโรคปากนกกระจอก ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ได้ทองแดง
สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย
ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีคอเลสเตอรอล ได้ไนอะซิน
ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง) <span style="color: red;">ได้
คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก
ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย</span> วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
<strong> </strong><br />
<strong> </strong><span style="color: grey;"><strong>ที่มา : </strong>เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-18135288900939312572014-09-17T03:00:00.000-07:002014-09-17T03:00:08.981-07:00สรรพคุณทางยาของดอกมะพร้าว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvuNiYPZu9pA2_YthqJEqzzUWXFcIROFKyui6mUY45mA8Pqcgcc7RS66x2CaDh3jw4nqkh1IUay41b8_rgwC7SME8ghHQkttoAum2a3-RtCYUbDX37RGmKLYStNr_XDa5asuGABsq0I8tU/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvuNiYPZu9pA2_YthqJEqzzUWXFcIROFKyui6mUY45mA8Pqcgcc7RS66x2CaDh3jw4nqkh1IUay41b8_rgwC7SME8ghHQkttoAum2a3-RtCYUbDX37RGmKLYStNr_XDa5asuGABsq0I8tU/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7.jpg" height="240" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><b>
มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ
ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า
สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย</b></span><br />
<br />
<span style="color: black;">มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย
เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ
ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า
สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย ตั้งแต่ลำต้น ใบ ก้าน ผล กะลา
รกมะพร้าว กาบมะพร้าว รากมะพร้าว ไปจนถึงดอกมะพร้าว ซึ่งมีรสฝาดหวานหอม และ</span><span style="color: red;">นอก
เหนือจากนำมาทำน้ำหวานแล้วก็ยังสามารถนำมาสกัดเพื่อประโยชน์ในการรักษาอาการ
ไข้ แก้ท้องเดิน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ กล่อมเสมหะ บำรุงเลือด
แก้ปากเปื่อย เป็นต้น</span><br />
<br />
<br />
<span style="color: grey;"> <b> ที่มา:</b> เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต </span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-54918589276006765012014-09-17T02:59:00.000-07:002014-09-17T02:59:00.069-07:00ข้าวกล้องงอก ต้านโรคอัลไซเมอร์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisxEcH_7auNpzlIls-j45nP1i8ANPTQMU2HiNWxHNHuryoXTkZItkz36L-pHqcQd_ZZ_OKaQh_DX1r2vBgDwfvSVExQTuf8J-X1CwOsbC1cVPPWuHKWFN-mSq2VaOwtnQQAlaSE_k_LgNX/s1600/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81+%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisxEcH_7auNpzlIls-j45nP1i8ANPTQMU2HiNWxHNHuryoXTkZItkz36L-pHqcQd_ZZ_OKaQh_DX1r2vBgDwfvSVExQTuf8J-X1CwOsbC1cVPPWuHKWFN-mSq2VaOwtnQQAlaSE_k_LgNX/s1600/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%81+%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.jpg" height="214" width="320" /></a></div>
<br />
<br /><span style="color: green;"><strong> การบริโภคข้าวกล้องงอก
ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง
และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์</strong></span><br />
<br />
<span style="color: black;"> จากการศึกษาและวิจัยพบว่า </span><span style="color: red;">การ
บริโภคข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า
จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์</span><span style="color: black;">
ดังนั้นจึงมีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบ
ประสาทต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น
รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่า
ข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบามีผลช่วยลดความดันโลหิต ลดไลโปรตีน
คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำในเลือด ลดน้ำหนัก ลดอาการอัลไซเมอร์
ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีกด้วย</span><br />
<br />
<br />
<strong> </strong><span style="color: grey;"><strong>ที่มา:</strong> เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-27969425194944124222014-09-17T01:23:00.000-07:002014-09-17T01:23:00.021-07:00น้ำเสาวรส ลดการอักเสบในผู้สูงอายุ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrEEuH-xZG5lfGsSgeZjfA72XaV6ckSKZ9LN-aTn29ku8_KoZ5AFsakvYC3RUK3rStFsmGddw-XpOY977LTBfyhBPd2nXNed1CN3cOJpsVkz7nDNeaMt0aozU3TSPgX6_lxhxO0EkVODSx/s1600/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA+%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrEEuH-xZG5lfGsSgeZjfA72XaV6ckSKZ9LN-aTn29ku8_KoZ5AFsakvYC3RUK3rStFsmGddw-XpOY977LTBfyhBPd2nXNed1CN3cOJpsVkz7nDNeaMt0aozU3TSPgX6_lxhxO0EkVODSx/s1600/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA+%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8.jpg" height="215" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><strong>
เสาวรสเป็นผลไม้เขตร้อนที่สามารถรับประทานผลสดได้
ทางการแพทย์เสาวรสมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์
ใบจะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ และฮาร์แมน ใช้ลดความดันโลหิต
ดอกมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทอย่างอ่อน ช่วยให้นอนหลับ เสาวรสมีวิตามินเอสูง
ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
มีแคโรทีนอยด์และวิตามินซีสูงกว่ามะนาว
ที่สำคัญสารสกัดจากเสาวรสมีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็ง</strong></span><br />
<span style="color: green;"><strong> </strong></span>
<br />
ที่ผ่านมา ยังมีรายงานเกี่ยวกับเสาวรสในเรื่องผลของการบริโภคต่อสุขภาพผู้สูงอายุไม่มากนัก ดังนั้น <strong>สำนัก
งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงสนับสนุนโครงการวิจัยเรื่อง
"ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบในผู้สูงอายุ" มี
ดร.ศุภวัชร สิงห์ทอง สังกัดคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่</strong>เป็น
หัวหน้าศึกษาสารออกฤทธิ์ของเสาวรสชนิดเปลือกสีม่วงและสีเหลืองในหลอดทดลอง
และศึกษาผลการดื่มน้ำเสาวรสต่อความสามารถต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ
และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุ<br />
<br />
ดร.ศุภวัชรเปิดเผยว่า
เมื่อนำเสาวรสชนิดเปลือกสีเหลืองและสีม่วงมาสกัดด้วยน้ำ และ 80% เอทานอล
แล้วตรวจหาสารออกฤทธิ์สำคัญ พบว่าเสาวรสทั้ง 2 ชนิด มีสารรูติน
(สารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติผลึกสีเหลือง) ไพโรแกลลอล
(สารประกอบฟีนอลชนิดหนึ่ง) และกรดแกลลิก และพบว่า <strong style="color: darkorange; line-height: 1.6;">เสาวรส
เปลือกสีเหลืองที่สกัดด้วย 80% เอทานอล มีปริมาณฟีนอลิกสูงที่สุด
ยับยั้งอนุมูลไฮดรอกซีได้ดีที่สุด ส่วนเสาวรสเปลือกสีม่วงที่สกัดด้วย 80%
เอทานอล มีฟลาโวนอยด์และมีฤทธิ์กำจัด ไนตริกออกไซด์สูงที่สุด
เสาวรสเปลือกม่วงที่สกัดด้วยน้ำกลั่นมีฤทธิ์กำจัดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์สูง
ที่สุด</strong><br />
<br />
สำหรับการศึกษาในผู้สูงอายุพบว่า <span style="color: teal;"><strong>ชาย
และหญิงสูงอายุ ที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วงและเปลือกเหลือง
มีตามินซีในซีรัมลดลงหลังการดื่มอย่างมีนัยทางสถิติ
ส่วนฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยรวมพบว่า
ในหญิงสูงอายุมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น
เมื่อดื่มน้ำเสารสทั้งสองชนิด ขณะที่ปริมาณไซโตไคน์
ซึ่งเป็นสารสื่อกลางการอักเสบลดลงในชายสูงอายุ
ที่ดื่มน้ำเสาวรสทั้งสองชนิดและในหญิงสูงอายุที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วง </strong></span>และ
ปัจจัยที่เป็นเนื้อร้าย เนื้องอกลดระดับลงอย่างมีนัยสำคัญในชายสูงอายุ
ที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกสีเหลืองและหญิงสูงอายุที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วง
ตรงกับการศึกษาว่า สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ<br />
<br />
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านผลไม้ไทย
เพื่อนำมาช่วยส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ
ให้ประชาชนปลูกและบริโภคเสาวรสกันมากขึ้น<br />
<br />
<span style="color: grey;"><strong>ที่มา: </strong>หนังสือพิมพ์ข่าวสด</span> xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-37298299651106878762014-09-16T23:38:00.000-07:002014-09-16T04:06:21.251-07:00นอนน้อย ทำให้สมองหด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhquSXAM8rixxWBT4esl1-eJuRTU1SgjjoceF7sUKM1WaTJK5EzXHL90dgyHfxfBl86DqkdJYTpEplXH2Q69GQ4lywvfoQXui3uhUxH7zFQgXP9ebM9AKcQVElq1U9YFDdgz6AvcB3ldaJa/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%94.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhquSXAM8rixxWBT4esl1-eJuRTU1SgjjoceF7sUKM1WaTJK5EzXHL90dgyHfxfBl86DqkdJYTpEplXH2Q69GQ4lywvfoQXui3uhUxH7zFQgXP9ebM9AKcQVElq1U9YFDdgz6AvcB3ldaJa/s1600/%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%94.jpg" height="170" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><b>
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ศึกษาพบเรื่องอันน่าตกใจว่า
ปัญหาต่างๆของการนอน อาจทำให้ขนาดของสมองห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของการนอนนั้น
ถูกถือว่าเป็นแม่บ้านของสมองในการซ่อมแซมและซ่อมสร้าง</b></span><br />
<br />
<span style="color: black;"> "คณะวิจัยได้ศึกษาจากผู้ใหญ่
วัยระหว่าง 20-84 ปี จำนวน 147 คน เพื่อหาความเกี่ยวพันระหว่างปัญหาการนอน
ตั้งแต่การนอนหลับยาก
หรือการอดหลับอดนอนอยู่จนดึกกับขนาดของสมองพวกเขาพบว่า ปัญหาการนอนต่างๆ
เกี่ยวพันกับการหดตัวของสมองอย่างรวดเร็ว ทั้งสมองบริเวณด้านข้าง ด้านขมับ
ด้านหน้าผากไปทั่ว"</span><br />
<br />
<span style="color: grey;"> <b> ที่มา :</b> เว็บไซด์ไทยรัฐออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-15570475407101951912014-09-16T23:37:00.000-07:002014-09-16T04:06:35.323-07:00ความสัมพันธ์ของมะเร็งกับยกทรง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKuOP5yYYKDcbRASxtJSz8rCNsSqQxCbt9KjtfecZe1UgwDXaAEgoPLjJe_hH8eO30tvTTk0PIhOkIHlJ9K2FrkyfmCfgDISriLzT26oyIxQwBgFNvnoJ8gBA9RORzQutKELzvjQLFc8qf/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKuOP5yYYKDcbRASxtJSz8rCNsSqQxCbt9KjtfecZe1UgwDXaAEgoPLjJe_hH8eO30tvTTk0PIhOkIHlJ9K2FrkyfmCfgDISriLzT26oyIxQwBgFNvnoJ8gBA9RORzQutKELzvjQLFc8qf/s1600/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="show_catlist">
<span style="color: green;"><b>
วารสารสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกัน แจ้งว่า
“การศึกษาตามความต้องการของประชาชน ต้องการให้พิสูจน์หาความ
เกี่ยวพันระหว่างการสวมใส่ยกทรงของผู้หญิงวัยทอง ว่ามีส่วน
เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทรวงอกเพิ่มขึ้นหรือไม่”</b></span><br />
<br />
คณบดีคณะวิทยาการโรคระบาด มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ประมาณว่า
“การศึกษาของเรา ไม่ค้นพบเหตุว่า การสวมใส่ยกทรงของสตรี
ยิ่งทำให้เสี่ยงกับโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเลย โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่า
วันหนึ่งจะใส่มากน้อย สวมยกทรงแบบไหน
หรือเริ่มใช้ยกทรงมาตั้งแต่อายุเท่าใด”<br />
<br />
คณบดีกล่าวว่า เคยมีสื่อมวลชนบางอย่าง อ้างว่า
การสวมยกทรงจะเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น แต่การค้นพบครั้งใหม่นี้
กลับช่วยตอกย้ำกับหญิงที่สวมยกทรงว่า
มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งแต่อย่างใดเลย
ไม่ว่าจะเป็นวัยทองหรือปกติ<br />
<br />
<br />
<span style="color: grey;"> <b> ที่มา : </b>เว็บไซต์ไทยรัฐ</span><br />
<span style="color: grey;"> <b> </b>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span></div>
xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-4387905594780931752014-09-16T23:34:00.000-07:002014-09-16T04:06:52.077-07:00ประโยชน์ที่ดีของ โยคะ<span style="color: green;"><b> โยคะเป็นการดูแลสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและฝึกปฏิบัติกันมาก เพราะส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ</b></span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvJY_WQQMg75_kKXPF61y4rT7r85s9x7v8bDBm-kKQAICBZzrVykEB513obVtEXC5T6JZGNEnO5M3ec7nLZidWUA7ChS_tJGCMPbkY9GsgVANX68Mz6YBfvx21f4F_374g11jxpH4qrxap/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvJY_WQQMg75_kKXPF61y4rT7r85s9x7v8bDBm-kKQAICBZzrVykEB513obVtEXC5T6JZGNEnO5M3ec7nLZidWUA7ChS_tJGCMPbkY9GsgVANX68Mz6YBfvx21f4F_374g11jxpH4qrxap/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-1.jpg" height="160" width="320" /></a></div>
<span style="color: green;"><b> </b></span><br />
<div style="text-align: center;">
</div>
ทางเลือกของการออกกำลังกายในทุกวันนี้ มีให้เลือกมากมาย
ไม่ว่าจะเน้นในเรื่องการเผาผลาญไขมันในช่วงเวลาสั้นๆ การวิ่งมาราธอน
การเต้นในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็อยู่ที่แต่ละคนจะเลือกตามความชอบ
และเป้าหมายของการออกกำลังกาย กับอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ
เป็นเรื่องการออกกำลังกายในรูปแบบของการฝึกโยคะ<br />
<br />
<span style="color: teal;"><b>
โยคะเป็นการดูแลสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและฝึกปฏิบัติกันมาก
นอกจากจะเป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจแล้ว
ยังมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อและอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร่างกายอีกด้วย
ทั้งยังช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างกายเคลื่อนไหวได้ดี ไม่เกิดการติดขัด
สามารถชะลอความเสื่อมของข้อต่อได้ สำหรับด้านจิตใจ
การฝึกโยคะช่วยให้ผ่อนคลาย หายเครียด เพราะการปฏิบัติท่าต่างๆ
จะเน้นการฝึกจิตให้จดจ่อกับการหายใจเข้าออก</b></span><br />
<br />
<span style="color: teal;"><b></b></span><span style="color: teal;"><b></b></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhntxLnNtOs0ZPy9Qx1-xKMToNEuB6Msrrp2VrK7Sh2PiG6n5tGQSUR5tNs0Nd6e9bqyJTRsWNP4B52qairhwltvA5-IQKbvWGHS-_lC13cQNELWKvDTLpXdzSru68t4T466UJIVh4YHCNv/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhntxLnNtOs0ZPy9Qx1-xKMToNEuB6Msrrp2VrK7Sh2PiG6n5tGQSUR5tNs0Nd6e9bqyJTRsWNP4B52qairhwltvA5-IQKbvWGHS-_lC13cQNELWKvDTLpXdzSru68t4T466UJIVh4YHCNv/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-2.jpg" height="209" width="320" /></a></b></div>
<span style="color: red;"><b> ประโยชน์ของโยคะ</b></span><br />
<br />
<span style="color: red;"><b> 1. ดูเด็กลง </b></span>-
เวลาไปคลาสโยคะ เรามักจะเจอแต่คนที่หน้าดูอ่อนกว่าวัยกันทั้งนั้น
เหตุผลสำคัญนั้นเป็นเพราะการฝึกโยคะจะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ประกอบกับท่วงท่าในการฝึกที่ต้องยืด เหยียด
ที่ยิ่งช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวได้มากขึ้นไปอีก เมื่อเลือดไหลเวียนได้ดี
ระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราก็ทำงานได้ดีตามไปด้วย
นอกจากนั้นยังเน้นเรื่องการกำหนดลมหายใจ
ทำให้ออกซิเจนเข้าปอดได้อย่างเต็มที่
เลือดก็นำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างสะดวก
ทั้งยังมีส่วนในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ผิวพรรณจึงดูสวยเปล่งปลั่ง
ดูเด็กไปถนัดตา<br />
<br />
<span style="color: red;"><b> 2. อกเป็นอก เอวเป็นเอว</b></span>
- การฝึกโยคะในแต่ละท่านั้นจะมีการใช้กล้ามเนื้อทั่วทุกส่วนของร่างกาย
ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ ซึ่งการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
เป็นการใช้พลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ในรูปแบบของไขมัน
ทำให้กล้ามเนื้อตึงกระชับ ทั้งท่าทางในการบิดตัวต่างๆ
นั้นยังช่วยให้สัดส่วนของคุณสาวๆ กระชับเข้าที่<br />
<br />
<span style="color: red;"><b> 3. สง่าทุกท่วงท่า</b></span>
- การฝึกโยคะนั้นนอกจากจะมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อแล้ว
ยังเน้นเรื่องการทรงตัว และความสมดุล
โดยเป็นการฝึกการกระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสมทั้งในส่วนของแขน ขา
กล้ามเนื้อกระดูกสันหลัง
รวมทั้งกระดูกข้อต่อที่จะได้รับการปรับให้เกิดความสมดุล
จึงได้บุคลิกภาพที่ดีเป็นของแถมมาจากการฝึกโยคะอีกด้วย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7k51sESoTn8KCpFF9mMFnhRKY9iWmm07qVdDUPw6bU_Qf1KLZ-KhyphenhyphenU36GIG85phsoP5GBOuQuHmVRLDQPn32MGHu23WpfLCr4pLP68FYTO8GwxpYW7A0ZEIx-FTepHm32XHjkRLJB6_xc/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87+%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-3.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7k51sESoTn8KCpFF9mMFnhRKY9iWmm07qVdDUPw6bU_Qf1KLZ-KhyphenhyphenU36GIG85phsoP5GBOuQuHmVRLDQPn32MGHu23WpfLCr4pLP68FYTO8GwxpYW7A0ZEIx-FTepHm32XHjkRLJB6_xc/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87+%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B0-3.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<span style="color: red;"><b> </b></span><br />
<span style="color: red;"><b> 4. สดใสไร้เครียด </b></span>-
ก่อนจะฝึกโยคะทุกครั้งจำเป็นต้องมีการผ่อนคลายจากความคิด ความกังวลใจต่างๆ
เพื่อให้มีสมาธิจดจ่อกับการฝึกในท่วงท่าต่างๆ
โดยเริ่มต้นจากการฝึกการหายใจเข้า และออกให้ปอดสามารถเก็บลมได้อย่างเต็มที่
ช่วยให้ปอดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การฝึกกำหนดลมหายใจนี้
เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดต่างๆ
และยังมีผลระยะยาวที่ทำให้จิตใจเยือกเย็นลง ไม่โกรธง่าย
ไม่โมโหฉุนเฉียวง่ายอีกด้วย เมื่อเราห่างไกลจากความเครียดอารมณ์ก็จะผ่องใส
ยิ้ม และหัวเราะได้มากขึ้น
<br />
<br />
<span style="color: red;"><b> 5. สม</b></span><span style="color: red;"><b>องโปร่ง สมาธิดี</b></span>
- ผลจากการฝึกลมหายใจเป็นการเพิ่มออกซิเจนที่จะไปช่วยเลี้ยงสมองค่ะ
นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกจิตใจรูปแบบหนึ่งทำให้เราเกิดสมาธิที่ดี
รวมไปถึงการฝึกโยคะท่าต่างๆ
นั้นจะทำให้ผู้ฝึกมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลาต่อเนื่อง<br />
และหากมีการฝึกโยคะเป็นประจำจะทำให้ผู้ฝึกมีสมาธิอยู่กับตนเอง
ทั้งในท่าทาง และอิริยาบทในการเคลื่อนไหวของตนเองตลอดเวลา
ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อมีสติ เกิดสมาธิ
นำไปสู่ปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายนั่นเอง<br />
เรื่องราวดีๆ และประโยชน์จากการฝึกโยคะยังมีอีกมาก
แต่เพียงที่นำเอามาฝากวันนี้ก็น่าที่จะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้เรา
ไม่อยากพลาดการออกกำลังกายในรูปแบบนี้กันแล้ว<br />
<br />
<br />
<b> </b><span style="color: grey;"><b>ที่มา : </b>กรุงเทพธุรกิจออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-49141577129553624332014-09-16T23:26:00.000-07:002014-09-16T04:07:09.320-07:00การปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8b16W1kt7X1STD2aWmQd7aMptv9tpS2Hp8ChMsU7qrdJnISwXjb80Hgms8OJWBESWdhnTZ8QvHtbOGKZWBWmffB6cX7-pIfCZGtS1hhdKVfEJZGLlspYcLF_Dy_2AK7eiV6LpYq1jETZ0/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8b16W1kt7X1STD2aWmQd7aMptv9tpS2Hp8ChMsU7qrdJnISwXjb80Hgms8OJWBESWdhnTZ8QvHtbOGKZWBWmffB6cX7-pIfCZGtS1hhdKVfEJZGLlspYcLF_Dy_2AK7eiV6LpYq1jETZ0/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><b>
การปฏิบัติตัวช่วงระหว่างการตั้งครรภ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความสมบูรณ์ของ
เจ้าตัวน้อยในครรภ์กัน โดยเฉพาะสมองนั้นจะเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญ
เนื่องจากมีการเจริญเติบโตตลอดเวลาในช่วงการตั้งครรภ์</b></span><br />
<br />
หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
ตัวอ่อนอาจจะยังไม่สามารถฝังตัวในมดลูกได้ และอาจมีการแท้งเกิดขึ้นได้<br />
<br />
เราจะเห็นได้ว่าในช่วง 3
เดือนแรกของการตั้งครรภ์มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาอวัยวะที่สำคัญ
โดยเฉพาะสมองมีการเจริญเติบโตทั้งขนาด รูปร่าง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อการทำงานอย่างเหมาะสม
รวมทั้งมีการเชื่อมต่อของการทำงานของสมองอย่างต่อเนื่องตลอดการตั้งครรภ์<br />
<br />
ดังนั้น หากตัวอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ถูกขัดขวาง
ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น สารพันธุกรรมที่ผิดปรกติ หรือปัจจัยภายนอก
อาทิ การติดเชื้อหัด หัดเยอรมัน เริม เอดส์,
การได้รับยาหรือสารพิษบางอย่าง เช่น ยากันชัก หรือยาฆ่าเชื้อบางชนิด,
บุหรี่, แอลกอฮอล์, สารเสพติดต่างๆ เช่น ยาบ้า, สารเคมี, โลหะหนัก เช่น
สารตะกั่ว สารปรอท สารหนู เป็นต้น อาจทำให้มีความผิดปรกติเกิดขึ้นได้<br />
<br />
เมื่อเราทราบเบื้องต้นแล้วว่าช่วงเวลาต่างๆมีผลต่อการพัฒนาและเจริญเติบโตของอวัยวะที่สำคัญของเจ้าตัวน้อย <span style="color: teal;"><b> </b></span><br />
<br />
<span style="color: teal;"><b>ดังนั้นวิธีการง่ายๆที่จะดูแลเจ้าตัวน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็คือ
การดูแลและการป้องกันอย่างเหมาะสม เริ่มฝากครรภ์ตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์
รับวัคซีนตามตารางเวลาที่เหมาะสม เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5
หมู่ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ดังกล่าว
และหากไม่สบายแนะนำให้มาตรวจกับแพทย์ หลีกเลี่ยงการซื้อยารับประทานเอง</b></span><br />
<br />
<span style="color: grey;"> <b>ที่มา :</b> โลกวันนี้วันสุข โดย พญ.ศิโรรัตน์ สุวรรณโชติ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (ร.พ.เด็ก)</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-9773641645180894472014-09-16T22:54:00.000-07:002014-09-16T04:07:28.506-07:00ตรวจหา มะเร็งปอด จากลมหายใจ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs3kQ4bVPFCSfSjf83jtjN5Iix8zGUIF_Y1hC4Kc35C7Quj5T3hLd9pabAJE7IVOo-mfpFeDZoRozH47dvHUSpD9djhTT_ZXfsRF82i7JCb8Yubw46UKsRa3zIvklC4xeULtfLx_Vijnxi/s1600/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2+%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%94+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%88.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs3kQ4bVPFCSfSjf83jtjN5Iix8zGUIF_Y1hC4Kc35C7Quj5T3hLd9pabAJE7IVOo-mfpFeDZoRozH47dvHUSpD9djhTT_ZXfsRF82i7JCb8Yubw46UKsRa3zIvklC4xeULtfLx_Vijnxi/s1600/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AB%E0%B8%B2+%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%94+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%88.jpg" height="233" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="color: green;"><b>หมอสามารถจะวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด ชั่วจากการวัดอุณหภูมิของลมหายใจออก</b></span><br />
<span style="color: black;">
คณะนักวิจัยได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมคองเกรส
แพทย์โรคระบบทางเดินหายใจระหว่างประเทศว่า
ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์อุณหภูมิลมหายใจออกของคนไข้ซึ่งถูกตรวจวินิจฉัยอย่าง
เต็มรูปแล้ว จำนวน 82 ราย </span><span style="color: blue;">พบว่าคนไข้ 42 ราย ซึ่งเป็นมะเร็งปอดในจำนวนนี้มีลมหายใจออกที่มีอุณหภูมิสูงกว่าคนที่ไม่ได้เป็น</span><br />
<br />
<span style="color: black;"> นอกจากนี้</span><span style="color: black;">พวก
เขายังพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ยังขึ้นอยู่กับความนานของการสูบบุหรี่
และอาการของโรคที่แพร่ออกไปมากแล้วของบุคคลผู้นั้นอีกด้วย <b>หมอเกียว–แวนนา เอลิเวียนา คาร์ปากนาโน หัวหน้านักวิจัย มหาวิทยาลัยฟ็อกเกีย ประเทศอิตาลี</b> กล่าวว่า </span><span style="color: red;">“ผลการค้นพบของเราส่อว่า มะเร็งปอดเป็นสาเหตุให้อุณหภูมิของลมหายใจออกสูงขึ้น</span><span style="color: black;"> หากว่าต่อไปเราสามารถปรับแต่งวิธีการนี้ให้ละเอียดดีขึ้น จะสามารถใช้เป็นการทดสอบแบบง่าย และค่าใช้จ่ายถูกมาใช้ได้”</span><br />
<br />
<span style="color: grey;"><b> ที่มา : </b>เว็บไซด์ไทยรัฐออนไลน์</span><br />
<span style="color: grey;"> ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6510352847285629978.post-54344394700320359482014-09-16T04:05:00.002-07:002014-09-16T04:05:43.201-07:00ส้มตำ กินอย่างไรให้ แซ่บและได้ประโยชน์<strong style="line-height: 1.6;"><span style="color: green;">
“ส้มตำ ยังเป็นอาหารรสชาติจัดจ้าน
ยอดนิยมของคนไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่เสื่อมคลาย
หาใช่เพียงรสชาติที่แซ่บ ถึงอกถึงใจเท่านั้น
ส้มตำถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเมนูหนึ่งที่มีไขมันและให้พลังงานต่ำ
แต่มีใยอาหารและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
หากแต่ต้องปรุงรสชาติให้พอเหมาะพอควร”</span></strong><br />
<br />
<strong style="line-height: 1.6;"><span style="color: green;"> </span></strong>
<strong> อ. แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ</strong> บอกเล่าอย่างน่าสนใจ<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhj3Y_H7cQ83tXJKqlMBtmwVJdr6o_OF_M9c9svW5vne1_Ahesm27HhRXa29Qv4ztLmL3IPsNOeqcrG6RFzDnFXTuPSC6p5cqqaqlEv2_CEceg5Hd1jImkVPktyB2TgK9Jn0w37mOW3rVLd/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-1.jpg" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhj3Y_H7cQ83tXJKqlMBtmwVJdr6o_OF_M9c9svW5vne1_Ahesm27HhRXa29Qv4ztLmL3IPsNOeqcrG6RFzDnFXTuPSC6p5cqqaqlEv2_CEceg5Hd1jImkVPktyB2TgK9Jn0w37mOW3rVLd/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-1.jpg" height="320" width="320" /></a><span style="color: red;"><strong>‘</strong><strong>ส้มตำ</strong><strong>’</strong><strong> โภชนาการรสแซ่บ</strong></span><br />
” <strong>อ. แววตา </strong>อธิบายเพิ่มเติมว่า <strong><span style="color: darkorange;">ส้มตำ
หนึ่งจานมีส่วนผสมของผัก สมุนไพร ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น
มะละกอ กระเทียม มะเขือเทศ พริกขี้หนู ถั่วฝักยาว ฯลฯ ซึ่งมีสรรพคุณทางยา
ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
และชะลอวัยด้วย </span></strong>แม้ว่าส้มตำจะมีรสชาติ เปรี้ยว หวาน
และเค็ม อร่อยถูกปากคนไทย แต่การบริโภคส้มตำเพียงอย่างเดียว
ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน จึงต้องกินอาหารอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยคือ
ข้าวเหนียว ขนมจีน ไก่ย่าง หมูย่าง หรือลาบต่างๆ ซึ่งมีสารอาหารครบถ้วน
ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน <br />
<strong> ส้มตำเป็นอาหารสด ไม่ผ่านความร้อน (Low Food) </strong>เรื่อง
ความสะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง หากไม่สะอาด มีการปนเปื้อน
อาจทำให้ท้องเสียได้ ส่วนเครื่องปรุงต่างๆ
ต้องสังเกตเชื้อราที่อาจปะปนอย่าง <em>‘อะฟลาทอกซิน’ </em>ซึ่งมักจะมีอยู่
ในถั่วลิสง กุ้งแห้ง กระเทียม ซึ่งเชื้อชนิดนี้เป็นโทษร้ายแรงต่อตับ
การเลือกรับประทานควรสังเกตความสะอาดด้านสุขาภิบาลของร้านค้าด้วย
ส่วนปลาร้าเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูง แต่หลายคนมักสงสัยว่า
จะกินปลาร้าสุกหรือดิบดี ถ้าหากเลือกได้ไม่ว่าจะเป็นปลาร้า หรือปูเค็ม
ควรจะกินแบบสุกดีกว่า และควรสังเกตความสะอาดของปูและภาชนะที่บรรจุด้วย<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizyOr3Cyoj-JuAB_CKCdK1vrNoZpxQE-m9ryMq8SLqeF1929517byVgPzF5HOTcCRSReuZJA2FQYpTVl19DrfJCpcj-tuLhP1F41sRihCOeIiowIgVKrvXAyC3CjA8r2C0efRSTvCJLkGE/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-2.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizyOr3Cyoj-JuAB_CKCdK1vrNoZpxQE-m9ryMq8SLqeF1929517byVgPzF5HOTcCRSReuZJA2FQYpTVl19DrfJCpcj-tuLhP1F41sRihCOeIiowIgVKrvXAyC3CjA8r2C0efRSTvCJLkGE/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-2.jpg" height="217" width="320" /></a><br />
<span style="color: red;"><strong>ส้มตำกินบ่อยๆ ดีหรือไม่</strong><strong>’</strong></span><br />
<br />
แน่นอนว่า ส้มตำไม่ใช่อาหารที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้น
ไม่ควรรับประทานบ่อยมากจนเกินไป ควรสลับสับเปลี่ยนกับอาหารประเภทอื่นๆ บ้าง
ควรกินประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือหากส้มตำมีส่วนผสมของปูดองเค็ม
หรือปลาร้า ก็กินได้อาทิตย์ละครั้ง ถ้ามากกว่านั้น ควรเป็นแบบสุกจะดีกว่า<br />
<br />
<span style="color: darkorange;"><strong>สำหรับผู้ที่มีโรคประจำ
ตัวอย่าง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต อ. แววตา แนะนำว่า
สามารถกินได้ แต่ไม่ควรบ่อยนัก เนื่องจากส้มตำมีโซเดียมสูง
หรือกินได้โดยไม่ปรุงรสด้วยน้ำตาล หรือใส่ในปริมาณน้อย
และไม่ควรปรุงรสให้เค็ม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ห้ามใส่ผงชูรส
เพราะเป็นเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูงมากนั่นเอง</strong></span><br />
<br />
นอกจากนี้ <strong>อ. แววตา </strong>ยังแนะนำอีกว่า <span style="color: teal;"><strong>ก่อน
กินส้มตำทุกครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่าง ควรกินข้าวเหนียว ไก่ย่าง
หรืออาหารอื่นๆ รองท้อง ก่อนกินส้มตำทุกครั้งเนื่องจาก มะละกอจะมียาง
ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำให้เนื้อสัตว์เปื่อยนุ่มได้
หากกินขณะท้องว่างจะทำให้ปวดท้อง
เนื่องจากยางมะละกอส่งผลต่อกระบวนการย่อยกัดเยื่อบุกระเพาะอาหารได้ </strong></span>และอีกหนึ่งข้อแนะนำสำคัญคือ ควรสอนเด็กๆ หากกินส้มตำ ควรเคี้ยวให้ละเอียดเพื่อให้ย่อยอาหารง่ายขึ้น เพราะมะละกอค่อนข้างย่อยยาก<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvxgQ42RRsuD36IPBZc9jH1aDe7hM1XuG8FgZVfsLmEAhuskajHZpECWkomaRrjw7CCajrul-bSIDJYrWtB5qnTYCKAFSuTicqZfcdcryA9YUqMxEAHBGvsH0vH6QIUnloTRQw1jfanL_H/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-3.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvxgQ42RRsuD36IPBZc9jH1aDe7hM1XuG8FgZVfsLmEAhuskajHZpECWkomaRrjw7CCajrul-bSIDJYrWtB5qnTYCKAFSuTicqZfcdcryA9YUqMxEAHBGvsH0vH6QIUnloTRQw1jfanL_H/s1600/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3+%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89+%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-3.jpg" height="320" width="275" /></a><br />
<span style="color: red;"><strong>‘</strong><strong>ส้มตำถาด เมนูสุดฮิต</strong><strong>’ </strong></span><br />
<em> “สำหรับส้มตำถาด ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้
นับว่าเป็นเมนูที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะนอกจากส้มตำแล้ว
ยังมีส่วนประกอบที่เป็นเครื่องเคียงทำให้ได้สารอาหารครบถ้วน
ทั้งคาร์โบไฮเดรตจาก ขนมจีนหรือเส้นหมี่ โปรตีนจาก ไข่ต้ม
หมูหรือปลาทอดกรอบ วิตามินและเกลือแร่จาก ผักสดอย่าง ถั่วงอก ผักบุ้ง
หรือผักต้มชนิดต่างๆ หากมีกระบวนการทำที่สะอาดและสุขาภิบาลที่ดี
ก็ไม่เป็นอันตราย”<strong> </strong></em><strong>อ. แววตา</strong> ชี้แจง<br />
<br />
<strong> อ. แววตา</strong> บอกเพิ่มเติมว่า <strong><span style="color: teal;">สำหรับ
ถาดที่มีสีสัน ลวดลายต่างๆ แน่นอนว่าเป็นอันตราย
เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารตะกั่ว แคดเมียม ที่เป็นโลหะหนัก
เมื่อโดนกรดรสเปรี้ยวจาก มะนาว ส้ม มะขาม ที่มีอยู่ในส้มตำ
จะกัดกร่อนถาดทำให้เกิดสนิม และเจือปนในอาหาร เมื่อเกิดการสะสมในระยะยาว
จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลต่อตับ และไต</span></strong><br />
<br />
เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการใหม่
บางร้านค้าที่มีถาดเหล่านี้จำนวนมาก อาจเปลี่ยนเป็นใช้จานเซรามิก
วางลงบนถาดอีกที หรือทางที่ดีจะเปลี่ยนเป็นถาดสแตนเลส จานกระเบื้อง
หรือแก้ว ก็ได้ เพราะไม่เป็นอันตรายเหมือนถาดอะลูมิเนียม<br />
<br />
<strong><em> หากเราหันมาใส่ใจการกินเพิ่มขึ้นสักนิด เพียงแค่นี้ ก็สามารถกินส้มตำ ให้แซ่บและได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน</em></strong><br />
<br />
<br />
<strong><em> </em> <span style="color: grey;"> เรื่องโดย </span></strong><span style="color: grey;">พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th</span>xooxoxxiimixhttp://www.blogger.com/profile/00019637153286624394noreply@blogger.com0