โรคอิไตอิไต ภัยร้ายจากสารแคดเมียมที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะคนที่ชอบส้มตำถาดสียิ่งควรระวัง !
ส้มตำ
เป็นอาหารยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากรสชาติที่จัดจ้าน
และยิ่งในตอนนี้เมนูอย่างส้มตำถาด
กำลังฮอตฮิตกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะเครื่องเคียงที่หลากหลาย
การจัดจานที่แปลกตาโดยการนำถาดเคลือบสีเราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กมาเป็นภาชนะ
โดยหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้ว เจ้าถาดโลหะเคลือบสีที่หลายคนบอกว่ามันช่วยทำให้การกินส้มตำถาดอร่อยขึ้น คือวายร้ายที่นำพาโรคร้ายมาสู่เราเลยล่ะ
โรค
ที่ว่านั่นก็คือโรคอิไตอิไต
ซึ่งเป็นโรคที่มาจากสารแคดเมียมที่อยู่ในสีที่เคลือบอยู่บนถาดนั่นล่ะค่ะ
เมื่อมันถูกกัดกร่อนด้วยกรดที่มาจากน้ำมะนาว หรือจากน้ำส้มสายชู
ก็จะทำให้สารแคดเมียมที่เคลือบอยู่ละลายออกมาปะปนกับส้มตำสุดอร่อยของเรา
กลายเป็นสาเหตุของโรคอิไตอิไต แต่โรคอิไตอิไตคือโรคอะไรล่ะ
หลายคนคงสงสัย
วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับโรคอิโตอิไตให้มาก
ขึ้น เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัวกันให้มากขึ้นค่ะ
โรคอิไตอิไต คืออะไร
โรค
พิษแคดเมียมหรือโรคที่เราเรียกกันทั่วไปว่า โรคอิไตอิไต (itai itai)
เป็นโรคที่สารแคดเมียมที่เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายจนถึงระดับอันตรายและสาร
แคดเมียมได้ทำลายอวัยวะ และ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจนทำให้เกิดอาการเพลีย
น้ำหนักลด คลื่นไส้อาเจียน ไอเรื้อรัง เกิดวงสีเหลืองที่บริเวณฟัน
มีภาวะเลือดจาง และความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดอักเสบ
นอกจากนี้แคดเมียมยังทำให้เกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากได้
และโรคอิไตอิไตยังเป็นโรคที่ส่งผลร้ายกับกระดูกโดยตรง
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดในกระดูก กระดูกเสื่อมสภาพและเสียรูปไปในที่สุด
โรค
อิไตอิไตนี้ถูกพบครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2463
จากเหตุการณ์พิษของแคดเมียมระบาดในประเทศญี่ปุ่นโดยครั้งนั้นเกิดขึ้นบริเวณ
ตามริมฝั่งของแม่น้ำจินสุ
อันมีสาเหตุมาจากการทําเหมืองและถลุงโลหะของบริษัทมิตซุย
ซึ่งทำอุตสาหกรรมผลิตโลหะทองแดง ตะกั่วและสังกะสี
ได้แอบลักลอบนํากากโลหะจากโรงงานมาทิ้งลงแม่นํ้าเป็นเวลานาน
จนชาวบ้านที่อาศัยในแถบนั้นที่เป็นเพศหญิง
โดยเฉพาะหญิงที่มีบุตรหลายคนและวัยหมดประจําเดือน
เกิดอาการปวดกระดูกตามน่อง ซี่โครงและสันหลัง
การระบาดในครั้งนี้ทําให้มีคนเสียชีวิต 100 กว่าราย และมากกว่า 180 ราย
มีอาการถึงปัจจุบัน
โดยมีการค้นพบว่าสาเหตุมาจากการบริโภคข้าวที่ปนเปื้อนสารแคดเมียมเป็นเวลา
นานมากกว่า 30 ปี
สาเหตุของโรคอิไตอิไต
โรค
อิไตอิไตมีสาเหตุมาจากสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนมากับสิ่งต่าง ๆ
ที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะน้ำ อาหาร หรืออากาศที่เราหายใจเข้าไป
โดยอาการของโรคจะสามารถเกิดจากความเป็นพิษเฉียบพลันและความเป็นพิษจาก
เรื้อรังได้ ซึ่งความเป็นพิษแบบเรื้อรังจะทำให้อวัยวะต่าง ๆ
ในร่างกายถูกทำลายและมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น
สารแคดเมียมคืออะไร
แคดเมียม
(Cadmium) เป็นโลหะหนัก มีสีขาว ฟ้า วาว มีลักษณะเนื้ออ่อน
สามารถบิดโค้งงอได้และถูกตัดได้ง่ายด้วยมีด มักอยู่ในรูปแท่ง แผ่น เส้นลวด
หรือเป็นผงเม็ดเล็ก ๆ ถูกค้นพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2360
แต่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในงานอุตสาหกรรมเมื่อครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ปัจจุบันแคดเมียมเป็นโลหะที่ถูกนำมาใช้กันมาก เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่พบในชุบสังกะสี ซึ่งใช้แคดเมียมผสมกับโลหะอื่น เพื่อเพิ่มความเหนียวและทนทานต่อการสึกกร่อน ใช้ทำแบตเตอรี่อัลคาไลน์ โดยการใช้ร่วมกับนิกเกิลเพื่อใช้ในการทำเม็ดสี พลาสติก ยาง และหมึกพิมพ์ นอกจากนี้ใช้เป็นสารประกอบในการผลิตสารกำจัดแมลงบางชนิด และใช้การหลอมโลหะบางชนิดอย่างเช่น ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น
ปัจจุบันแคดเมียมเป็นโลหะที่ถูกนำมาใช้กันมาก เนื่องจากสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ที่พบในชุบสังกะสี ซึ่งใช้แคดเมียมผสมกับโลหะอื่น เพื่อเพิ่มความเหนียวและทนทานต่อการสึกกร่อน ใช้ทำแบตเตอรี่อัลคาไลน์ โดยการใช้ร่วมกับนิกเกิลเพื่อใช้ในการทำเม็ดสี พลาสติก ยาง และหมึกพิมพ์ นอกจากนี้ใช้เป็นสารประกอบในการผลิตสารกำจัดแมลงบางชนิด และใช้การหลอมโลหะบางชนิดอย่างเช่น ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น
ลักษณะ
พิเศษของแคดเมียมคือ มีจุดหลอมเหลวต่ำ อยู่ที่ 302 องศาเซลเซียส
และมีคุณสมบัติละลายได้ทั้งในกรดอินทรีย์ และกรดอนินทรีย์ อย่างเช่น
กรดของน้ำมะนาวหรือกรดของน้ำส้มสายชู
และเมื่อนำแคดเมียมมาเผาจะได้แคดเมียมออกไซด์ซึ่งมีสีน้ำตาล
ในอากาศที่มีความชื้น แคดเมียมจะถูกออกซิไดซ์ช้า ๆ ให้แคดเมียมออกไซด์
ในธรรมชาติแคดเมียมมักจะอยู่รวมกับกำมะถันเป็นแคดเมียมซัลไฟด์
หรือเจือปนอยู่ในสินแร่สังกะสี ตะกั่ว หรือทองแดง
การนำเอาแคดเมียมมาใช้จะทำให้มีการปนเปื้อนของแคดเมียมในสิ่งแวดล้อม
ทั้งในอากาศ น้ำ ดิน รวมทั้งในอาหารด้วย
และเมื่อเกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไปสารชนิดนี้จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคอิไตอิไต
โรค
อิไตอิไตเป็นโรคที่มักจะเกิดกับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสหรือเสี่ยงกับสารชนิดนี้
ตัวอย่างเช่นผู้ที่ทำงานอยู่ในอุตสหกรรมที่มีการใช้และต้องสัมผัสกับ
แคดเมียมโดยตรงได้แก่ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ผลิตแบตเตอรี่อัลคาไลน์
หรือผู้ที่ต้องอยู่กับงานไฟฟ้า เชื่อมหรือหลอมโลหะ ทาสี
งานชุบสังกะสีเป็นต้น แต่ในปัจจุบันความเสี่ยงยิ่งเข้ามาใกล้ตัวมาขึ้น
จากการรับประทานอาหารโดยใช้ภาชนะที่เป็นโลหะเคลือบสี อย่างเช่น ส้มตำถาด
อาหารที่อยู่ในจานชามโลหะเคลือบสี หากในอาหารมีส่วนผสมของกรดน้ำมะนาวหรือ
กรดน้ำส้มสายชูก็อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะได้รับสารแคดเมียมสะสมในร่าง
กายจนเกิดโรคอิไตอิไตได้เช่นกัน
โรคอิไตอิไต กับอาการที่ปรากฏ
เมื่อ
แคดเมียมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตโดยจะไปจับกับแกม
ม่าโกลบุลิน (Grammar-globulin)
และจะมีแคดเมียมบางส่วนจะไปจับกับฮีโมโกลบิน หรือ เมทัลโลไธโอนีน
(metallothionein) ในเม็ดเลือดแดง
โดยแคดเมียมส่วนใหญ่จะไปสะสมอยู่ในไตและบางส่วนที่ไปสะสมยังตับอ่อนและต่อม
ไทรอยด์ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะ
ใน
การตรวจเพื่อเฝ้าระวังปัญหาพิษจากแคดเมียมจึงไม่ใช้การตรวจหาปริมาณแคดเมียม
ในเลือดหรือในปัสสาวะ แต่ใช้การตรวจปริมาณโปรตีนที่ขับออกมาในปัสสาวะ
โดยเฉพาะเบตาไมโครโกรบูลิน
จากการศึกษาพบว่าการดูดซึมของแคดเมียมในระบบทางเดินอาหารเป็นไปได้น้อยมาก
ประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณแคดเมียมที่กินเข้าไป
การดูดซึมแคดเมียมในลำไส้จะดีขึ้นถ้าปริมาณแคลเซียมในอาหารต่ำ
สำหรับการดูดซึมแคดเมียมในปอดโดยการหายใจสูดดม แคดเมียมจะถูกดูดซึมได้มากขึ้นถึงร้อยละ 10-40 และถ้าหากร่างกายมนุษย์มีปริมาณของแคดเมียมสูงเกินไปจะทำให้เกิดอันตรายต่อ ไตขึ้นได้โดยที่จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อไต ทำให้มีโปรตีน กรดอะมิโนและแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ และถ้าหากติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดูกในที่สุด
สำหรับการดูดซึมแคดเมียมในปอดโดยการหายใจสูดดม แคดเมียมจะถูกดูดซึมได้มากขึ้นถึงร้อยละ 10-40 และถ้าหากร่างกายมนุษย์มีปริมาณของแคดเมียมสูงเกินไปจะทำให้เกิดอันตรายต่อ ไตขึ้นได้โดยที่จะทำให้เกิดการทำลายเนื้อไต ทำให้มีโปรตีน กรดอะมิโนและแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นนิ่วในปัสสาวะได้ และถ้าหากติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของกระดูกในที่สุด
นอก
จากนี้หากได้รับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงอย่างเฉียบพลันก็อาจจะทำ
ให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำลายไหล
ปวดท้อง ช็อก มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจสั้น มีกลิ่นโลหะในปาก
ไอมีเสมหะเป็นฟองหรือมีเสมหะเป็นเลือด อ่อนเพลีย ปวดเจ็บขา
ต่อมาปัสสาวะจะเริ่มน้อยลงและมีไข้ จากนั้นจะเกิดอาการปอดอักเสบ
จากนั้นตับและไตจะถูกทำลาย
ซึ่งถ้าหากเกิดอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนเพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคอิไตอิไต
ผู้
ป่วยที่ได้รับพิษจากแคดเมียมสามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย
โดยใช้วิธีการอย่างเช่น การฉายภาพรังสีทรวงอก ตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด
ตรวจปัสสาวะ และเลือด เพื่อหาระดับของแคดเมียมที่อยู่ในร่างกาย โดย
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่ามาตรฐานของแคดเมียมในร่างกายไว้ที่ดังนี้
หากเป็นคนปกติทั่วไปต้องมีระดับแคดเมียมในปัสสาวะ < 2 ไมโครกรัม/กรัม
ครีอะตินีน และไม่เกิน 10 ไมโครกรัม/กรัม ครีอะตินีน
และต้องมีระดับแคดเมียมในเลือด 5 ไมโครกรัม/ลิตร แต่ไม่เกิน 10
ไมโครกรัม/ลิตร
วิธีการรักษาโรคอิไตอิไต
โรคอิไตอิไตแบ่งออกเป็นอาการพิษแบบเฉียบพลัน และอาการพิษแบบเรื้อรัง ซึ่งวิธีการรักษาในแต่ละประเภทก็แตกต่างกันออกไป ดังนี้
อาการพิษแบบเฉียบพลัน
วิธีการรักษา
หาก
ผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการหายใจ
ควรนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่มีสารแคดเมียมอยู่ในอากาศและนำส่งโรงพยาบาลโดย
ด่วน ซึ่งเมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะทำการรักษาอาการปอดบวมน้ำ (Pulmonary
edema) และจะให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต (Calcium disodium edetate) เช่น
อีดีทีเอ (EDTA) ทางหลอดเลือดดำ หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ในปริมาณ 25
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ และอาจให้ซ้ำอีกครั้งได้
หาก
ผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมผ่านทางการรับประทาน ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ให้ผู้ช่วยเหลือให้นมหรือไข่ที่ตีแล้วแก่ผู้ป่วย
เพื่อลดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร หลังจากนั้นให้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
แพทย์จะให้ทำการถ่ายท้องด้วย Fleet's Phosphosoda (เจือจาง 1:4 ด้วยน้ำ)
30-60 มิลลิลิตร เพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม
ซึ่งถ้าหากอาการยังไม่ดีขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องให้แคลเซียมไดโซเดียมอีดีเทต
(Calcium disodium edetate) เช่น อีดีทีเอ (EDTA)
เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่ได้รับพิษแคดเมียมทางการหายใจ
เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงจะเริ่มรักษาอาการของตับ และไตที่ถูกทำลายต่อไป
อาการพิษแบบเรื้อรัง
วิธีการรักษา
หาก
ผู้ป่วยได้รับพิษแคดเมียมและมีอาการเรื้อรังก็อาจจะทำให้อาการกระดูกเสื่อม
และผิดรูปไปได้ ซึ่งสามารถด้วยวิธีการรักษาแบบ ไคโรแพรคติก (Chiropractic)
ซึ่งเป็นการจัดกระดูกสันหลังที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคให้กลับคืนสู่
ตำแหน่งเดิม วิธีนี้จะทำให้อาการของโรคดีขึ้นได้
แต่ถ้าหากพิษเรื้อรังนั้นเข้าสู่ระบบหายใจก็จะทำให้ปอดถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
จนเกิดอาการปอดอักเสบเรื้อรังหรือเฉียบพลันได้
อาการในขั้นนี้จะมีทั้งการไอแห้ง ๆ อาการแพ้
ระคายเคืองบริเวณลำคอและโพรงจมูก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หนาวสั่น
และเจ็บหน้าอก
และหากเข้าขั้นวิกฤตก็อาจจะถึงขนาดที่ตับหรือไตวายเฉียบพลันได้
และย่อมส่งผลถึงการติดเชื้อในกระแสโลหิต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ดังนั้นหากเริ่มมีอาการเริ่มแรกของอาการปอดอักเสบควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการ
ตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไปค่ะ
โรคอิไตอิไต ป้องกันได้หรือไม่
โรค
อิไตอิไตเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสาร
แคดเมียมโดยตรงไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงตัวเราเท่านั้นที่ทำให้หลีกไกลจากสารแคดเมียมได้
แต่กลุ่มอุตสาหกรรมก็ต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจังเช่นกัน
โดยวิธีที่ดีที่สุดก็คือการลดปริมาณการใช้สารแคดเมียม
หรือใช้สารทดแทนในกรณีที่ทำได้ และควรหลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ
หรืออยู่ในบริเวณที่มีสารแคดเมียม งดใช้ภาชนะ
วัสดุหรือสิ่งของที่มีแคดเมียมปนเปื้อนอยู่
หากต้องเข้าไปอยู่ใกล้บริเวณที่มีสารแคดเมียมกระจายอยู่ในอาการก็ควรใช้
หน้ากากป้องกันสารพิษเพื่อป้องกันพิษจากแคดเมียมด้วยค่ะ
ไคโรแพรคติก (Chiropractic) รักษาโรคอิไตอิไตได้จริงหรือ?
แม้
ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ พิสูจน์ได้ว่า การรักษาโรคอิไตอิไต
ด้วยวิธีไคโรแพรคติก (Chiropractic)
ซึ่งเป็นวิธีนวดจัดกระดูกด้วยมือนั้นจะสามารถทำให้หายจากโรคนี้ได้
แต่การรักษาด้วยวิธีนี้ก็เป็นการช่วยทำให้ในการปรับสมดุลของร่างกายได้
และทำให้อาการความเป็นพิษของแคดเมียมลดลงได้ระดับหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาด้วยวิธีนี้เพราะใน
กลุ่มผู้ที่เป็นโรคอิไตอิไตนั้นจะมีอาการของภาวะกระดูกเสื่อมร่วมด้วย
ซึ่งอาจทำให้กระดูกเกิดความเสียหายจากการรักษาได้ค่ะ
กินส้มตำถาดอย่างไรให้ห่างไกลโรคอิไตอิไต
ถึง
แม้ว่าสารแคดเมียมจะมีความอันตราย
แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่ไม่อาจหักห้ามใจให้เลิกกินเจ้าส้มตำถาดได้ใช่
ไหมคะ
ดังนั้นเพื่อให้เราปลอดภัยจากโรคอิไตอิไตเราก็ควรที่จะระมัดระวังตัวให้มาก
ขึ้นกว่าเดิม โดยการหลีกเลี่ยงการกินส้มตำถาดที่ใช้ถาดโลหะเคลือบสี
หรือถาดที่ทำจากพลาสติกนะคะ
ได้
รู้จักโรคอิไตอิไตกันมากขึ้นแล้ว
หวังว่าหลายคนที่กำลังชื่นชอบส้มตำถาดสีก็คงจะเริ่มระมัดระวังกันมากขึ้น
แล้วนะคะ รวมทั้งผู้ที่ทำงานซึ่งเกี่ยวข้องกับสารแคดเมียม
แม้ว่าโรคนี้จะไม่แสดงอาการป่วยให้เห็นในระยะเวลาอันสั้น
แต่หากสะสมเข้าไปมาก ๆ นานหลายสิบปี
อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรานั้นนับว่าน่ากลัวจริง ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น