คลีนฟู้ด อีกมิติของการกินเพื่อสุขภาพ


        ช่วงนี้กระแสนิยมของ “คนรักสุขภาพ” กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบ 25 นาที หรือแม้กระทั่งการกินอาหารแบบคลีนๆ (Clean Food) ที่หลายคนรู้จักและเรียกกันจนติดปาก
 
          อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อธิบายว่า “คลีนฟู้ด” (Clean Food) เป็นคำเรียกที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้เกิดความตระหนักว่า “การ กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ มีความปลอดภัย ไม่มีสารปนเปื้อน และกินอย่างเพียงพอ ครบ 5 หมู่ ควบคู่กับการออกกำลังกาย คือ การนำมาซึ่งสุขภาพที่ดี เพราะการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอาหารการกินนั้นไม่เป็น ผล”

          “อย่างที่บอกย้ำเสมอว่า การกินอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย บวกกับการควบคุมอารมณ์ ไม่หมกมุ่น ไม่เกิดความกังวล หาทางสลัดความเครียดออกจากตัวเองให้เร็ว เลี่ยงเหล้าและบุหรี่ตามหลัก 3 อ 2 ส (อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่) คือสิ่งที่ทุกคนที่รักสุขภาพจะต้องยึดเหนี่ยว”
  
          สำหรับคลีนฟู้ด อ.สง่าบอกว่า มีความหมายอยู่ 2 นัยยะ คือ “อาหารที่ไม่ปนเปื้อน” หมายถึง กินเข้าไปแล้ว มีประโยชน์และไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งการปนปื้อนก็มีอยู่ 3 ทางด้วยกัน คือ “ปนเปื้อนเชื้อโรค” มีเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปปะปนในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ไม่สุก อาหารที่ค้างคืน มีแมลงวันตอม ปรุงไม่สะอาด ก็นำมาซึ่งอาการท้องเดินได้ ต่อมา “ปนเปื้อนจากพยาธิ” เช่น การกินอาหารที่สุกๆ ดิบๆ การกินอาหารที่ไม่ระมัดระวังเรื่องความสะอาดก็มีการปนเปื้อนพยาธิได้ และสุดท้าย “ปนเปื้อนสารเคมี” เช่น กินผักที่ไม่ได้ล้างหรือล้างไม่สะอาด มียาฆ่าแมลงปะปนอยู่ อาหารที่ใส่สีแต่ไม่ใช่สีผสมอาหาร อาหารที่มีพิษ เช่น เห็ดพิษ น้ำมันทอดซ้ำ ถั่วลิสงที่มีอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) เป็นต้น

          “ส่วนนัยยะที่สอง คือ "อาหารที่ถูกหลักโภชนาการ" อาจารย์ จึงอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า การตั้งคำถามว่าเราจะกินอาหารอย่างไรให้ครบ 5 หมู่ และต้องกินให้ได้สัดส่วน ปริมาณที่เพียงพอไม่มากน้อยจนเกินไป รวมถึงมีความหลากหลาย เลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด สุดท้ายกินผักผลไม้ให้มาก ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงคือ การกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการในแบบที่ตรงกับคำว่าคลีนฟู้ด เพราะฉะนั้นคำว่าคลีนฟู้ดก็คือ คำว่า อาหารปลอดภัยไม่ปนเปื้อน อาหารถูกหลักโภชนาการนั่นเอง”

          ทำความเข้าใจเรื่อง “อาหารถูกหลักโภชนาการ”
          อาจารย์สง่าบอกเพิ่มเติมว่า คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจคำว่าอาหาร 5 หมู่ เพียงแค่พูดกันจนติดปาก ซึ่งหากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือการคำนึงถึงสิ่งที่เราจะกินในแต่ละมื้อ หมู่ที่ 1 เนื้อสัตว์ มีโปรตีน หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง คาร์โบไฮเดรต หมู่ที่ 3 เกลือแร่และแร่ธาตุ หมู่ที่ 4 ผักผลไม้ที่มีวิตามิน และหมู่ที่ 5 ไขมัน คนมักจะท่องแล้วก็จบไม่ได้สังเกตว่าเรากินแต่ละมื้อครบหรือเปล่า...

         “มีวิธีสังเกตง่ายนิดเดียว ยกตัวอย่างเช่น เรากินก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม แล้วก็กินส้มเขียวหวาน 1 ลูก  เราได้คาร์โบไฮเดรตจากเส้นก๋วยเตี๋ยว โปรตีนจากลูกชิ้นหรือหมูสับ วิตามินแร่ธาตุจากผัก เช่น ถั่วงอกหรือผักอื่นๆ และไขมันจากกระเทียมเจียว สุดท้ายก็กินผลไม้ แต่ในทางตรงกันข้าม เวลาที่เร่งรีบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกน้ำร้อนก็ได้แค่คาร์โบไฮเดรต หรือกาแฟกับปาท๋องโก๋ ก็ได้แค่ 2 หมู่ แป้งกับน้ำมัน เพราะฉะนั้นการกินอาหารหลัก 5 หมู่ ต้องกินครบให้ได้ทุกมื้อ ส่วนมากเราจะขาดผลไม้ ซึ่งถ้าเราขาดผลไม้ในอาหารมื้อหลัก เราก็อาจจะทดแทนในช่วงอาหารว่างบ้างก็ได้”

       แล้วจะกินอาหารก่อนหรือหลังออกกำลังกาย?
         ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพิ่มเติมว่า ตามหลักแล้วถ้าเราจะออกกำลังกาย เราจะต้องไม่กินอาหารมื้อหนัก ล่วงหน้าประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่ถ้ากินอาหารมื้อหนักไปแล้ว ห่างมาสัก 2- 3 ชั่วโมง ก็สามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าเราออกกำลังกายเสร็จแล้วเราไปกินมื้อหนักเป็นโอกาสที่เรา จะอ้วนสูงมาก เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายในช่วงเช้าคือช่วงเวลาทีดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ยังไม่ได้รับประทานอาหาร เมื่อเราไปออกกำลังกายใช้พลังงานจะทำให้การเผาผลาญดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าออกกำลังกายช่วงเย็นไม่ดี คือสรุปแล้วให้เดินทางสายกลาง ถ้าสะดวกช่วงเช้าก็ออกกำลังกายช่วงเช้าตลอด หรือถ้าสะดวกช่วงเย็นก็ออกกำลังกายช่วงเย็น
 
          “ถ้าออกกำลังกายแล้วรู้สึกเพลียๆ แล้วโหย สำคัญที่สุดคือ การดื่มน้ำเปล่าสะอาด ไม่ใช่น้ำอัดลมหรือน้ำหวาน เพราะอุตส่าห์เบิร์นออกแล้วยังไปเอาพลังงานส่วนเกินเข้าไปอีกจะน่าเสียดาย มาก หรือถ้าเป็นเครื่องดื่มจะดื่มนมพร่องมันเนยรสจืดหรือนมรสธรรมชาติก็ได้ แต่ถ้าจะเป็นอาหารที่หนักขึ้นมาหน่อยแนะนำเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน แต่ไม่แนะนำอาหารมื้อหนัก เพราะหลังออกกำลังกายมากินอาหารแล้วเข้านอน การเผาผลาญจะลดลงนั่นเอง” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกล่าว

          ไม่ว่ากระแสการออก กำลังกายหรือการกินอาหารแบบคลีนๆ ที่แพร่หลายในขณะนี้จะเป็นเพียงเรื่องฮิตที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เป็นเรื่องน่ายินดีว่า “คนไทย” หันมาใส่ใจสุขภาพและดูแลเรื่องอาหารการกินเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง


          เรื่องโดย : ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

กินคลีน เทรนด์ใหม่คนรักสุขภาพ


       ในหมู่ของคนรักสุขภาพเดี๋ยวนี้ มักจะพูดถึงการกินคลีน อยู่เสมอ ซึ่งหลายๆ คนฟังแล้วอาจไม่เข้าใจว่าการกินคลีนนั้นคืออะไร แล้วดีอย่างไร และถ้าหากพูดถึงการมีสุขภาพดี แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงแค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กลับรวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพด้วย 
 
         วันนี้เราเลยถือโอกาสแนะนำให้รู้จักกัน

         Eat Clean มี ที่มาจากการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง หรือผ่านกรรมวิธีการปรุงให้น้อยที่สุดอย่างผักสด ผลไม้สด เนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงสุกแต่ไม่ปรุงแต่งรสชาติ ธัญพืช เป็นต้น โดยส่วนใหญ่การกินคลีนมักเป็นอาหารที่เราปรุงเอง เป็นเมนูง่ายๆ ที่บ้าน ซึ่งก็มีหลายๆ คนที่สงสัยในเรื่องของรสชาติ ว่าอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งจะอร่อยได้อย่างไร จริงๆ แล้วเราสามารถปรุงเมนูคลีนให้ได้รสชาติอร่อยจากการดึงเอารสชาติในแต่ละวัตถุ ดิบมารวมเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรุง

         อย่างการปรุง 1 เมนูคลีนๆ ให้อร่อยครบ 5 หมู่ เราอาจเลือกเนื้อไก่ต้มฉีกฝอยมาปรุงเข้ากับผักสดๆ เพิ่มรสชาติความอร่อยทั้งเปรี้ยวและหวานจากผลไม้ลงไปอย่างแอปเปิลเขียว มะม่วงสุก ราดด้วยน้ำมันมะกอกต่างน้ำสลัดซึ่งการปรุงนั้นไม่มกฎตายตัว สามารถครีเอทเมนูอร่อยในแบบฉบับของตัวเองได้ นับ่วาเป็นเรื่องสนุกที่จินตนาการถึงรสชาติความอร่อยที่ได้ปรุงขึ้น

         กินคลีนแล้วดีอย่างไร อาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงไม่ว่าจะผัด ทอด ตุ๋น ต้ม อบทั้งหลาย ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง บางคร้งยังปรุงแต่งไปด้วยเครื่องปรุงต่างๆไม่ว่าจะเป็นผงชูรส เกลือ น้ำตาล พริกป่น รวมถึงสารตกค้างที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว การกินคลีนจึงเหมือนกับการได้ดีท็อกซ์ลำไส้ และมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ท้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

         นอกจากการเลือกรับประทานแล้ว สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มีสุขภาพดี ต้องอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย สุขภาพที่ดีก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

         
         ที่มา : หนังสือพิมพ์ M2F
         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

กินชะลอวัย ไกลโรค ด้วยอาหารคลีน


         อาหารคลีน (Clean Food) เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการและการปรุงแต่งน้อยที่สุด หรือไม่ปรุงแต่งเลยยิ่งดีเพราะจะได้มีสัมผัสจากธรรมชาติมากที่สุด

         หลักในการจัดอาหารคลีน มีดังนี้
         - ขัดสีให้น้อยที่สุด เช่น ข้าวก็ไม่เลือกที่ขัดจนเป็นข้าวสวยขาว ส่วนขนมปังก็ไม่เลือกแบบเนื้อนุ่มขาวจั๊วน่าอร่อย  หรือขนมแป้งขัดขาวก็ให้เลี่ยงอย่างโดนัท, คุกกี้และเบเกอรี่อื่นๆ
         - ปรุงแต่งเท่าที่จำเป็น เช่น เลี่ยงการใช้น้ำมันทอดหรือผัดจนท่วม แต่อาจเติมน้ำสลัดจากน้ำมันธรรมชาติได้  ไม่ปรุงน้ำตาล, น้ำปลา, เกลือหรือเติมรสจัดจนทำให้รสผิดไปจากธรรมชาติมากไป

         เทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญท่านแนะเอาไว้โดยละเอียด 7 ประการ มีดังนี้

       - อาหารเช้าขาดไม่ได้ (ภายใน 1 ชั่วโมงหลังลืมตาตื่น)
         - แบ่งมื้ออาหารรับประทานเป็นมื้อย่อย เช่น 4 หรือ 6 มื้อต่อวัน
         - เลือกบริโภคโปรตีนแบบ “ไม่ติดมัน” และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เช่น ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีต) ทุกมื้อ
         - รับประทานไขมันดีทุกวัน เช่น น้ำมันปลา, ปลาทู, น้ำมันมะกอก, น้ำมันสุขภาพอื่นๆ
         - คุมส่วนของอาหาร (portion) ให้ดี ไม่ควรเลือกไซส์ใหญ่หรือรับประทานอเมริกันไซส์
         - รับประทานไฟเบอร์, วิตามิน, สารอาหารและเอ็นไซม์จากผักสดและผลไม้
         - สำคัญที่ดื่ม “น้ำเปล่า” ให้ได้วันละ 2-3 ลิตร

         ส่วนของกินที่ควร “เลี่ยง” นั้นมีในกลุ่มต่อไปนี้
         - แป้งขัดขาว อย่าง แป้งข้าวสาลี, ขนมปังขาว, ปาท่องโก๋, เค้ก, คุกกี้, เบเกอรี่และอาหารที่ทำจากแป้งหรือน้ำตาล น้ำหวาน รวมถึงน้ำตาลเทียม เครื่องดื่มหวานทุกชนิดควรเลี่ยง อย่าง กาแฟชงสำเร็จ, กาแฟทรีอินวัน, ชาเขียวรสหวาน, น้ำอัดลม, น้ำหวานหรือแม้แต่น้ำผลไม้
         - แอลกอฮอล์ทุกประเภท ไม่ว่าจะไวน์, เหล้า, เบียร์, ยาดอง,กระแช่, สาโท หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ อย่างค็อกเทล
         - ไส้กรอก รวมถึงแฮม, เบค่อน, กุนเชียง, หมูสวรรค์, หมูแผ่น เพราะอาหารแปรรูปเหล่านี้ มักใส่ “ไนไตรต์” ซึ่งเป็นกลุ่มดินประสิวให้เนื้อแดงน่ากิน
         - ผงชูรสและซุปก้อน ควรเลี่ยงถ้าเป็นไปได้ ทางเลี่ยงง่ายๆ คือระวัง “น้ำซุป” ทั้งหลายเพราะมักใส่ผงชูรสและซุปปรุงรส เช่น ในก๋วยเตี๋ยวน้ำ, แกงจืด, ต้มยำ, อาหารจีนโดยเฉพาะที่รับประทานนอกบ้าน
         - อาหารสังเคราะห์ เช่น อาหารไมโครเวฟ, บะหมี่สำเร็จรูป, อาหารกระป๋องบางชนิด, ไอศกรีมปรุงแต่งรส, ครีมเทียมใส่กาแฟ, เนยเทียม, เยลลี่หลากสี หรือโพรเซสชีส
         - ของทอดของมัน เพราะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ซึ่งเป็น “ไขมันผู้ร้าย” จะมีอยู่มากในอาหารกลุ่มนี้ เช่น ไก่ทอดน้ำมันท่วม, เฟรนช์ฟราย, อาหารชุบแป้งและเกล็ดขนมปังทอด

         ทั้งหมดนี้คืออาหารที่ “ไม่คลีน” ในแง่ของการปรุงแต่งรส ผ่านกระบวนการขัดสีและเป็นอาหารหมักดอง ซึ่งถ้ารับประทานนานเข้าจะส่งผลให้ “อ้วน” และ “แก่เร็ว” จาก สารเคมีสังเคราะห์ทั้งหลาย  การรับประทานอาหารคลีนคือการรับประทานที่ใกล้ธรรมชาติที่สุด จะช่วยหยุดโรคอ้วนและสุขภาพเสื่อมแบบเร่งด่วนได้

       คลีนฟู้ดกับ 5 สูตรเนรมิตสุขภาพดี
         หากจะหาอาหารที่เข้าข่ายคลีนนั้น ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะมีอยู่ในอาหารแบบไทยๆ เราเป็นส่วนใหญ่  ดังจะขอฝากตัวอย่างไว้ให้ชาวคนสู้โรค ได้ลองชิมกันดู ขอเน้นแบบที่ “ทำง่าย” และประหยัดเวลานะครับ เพื่อให้สะดวกกับหลายๆ ท่าน

         ข้าวแกงกะหรี่ไก่คลีน เพื่อให้ท่านสะดวกสุด ขอให้ใช้ “ก้อนแกงกะหรี่สำเร็จรูป” แบบของญี่ปุ่นใส่ลงไป ใส่ผักอย่าง มันฝรั่ง, หัวหอมใหญ่และแอปเปิ้ลหั่นลงไป ใช้อกไก่เป็นโปรตีนหลัก รับประทานกับข้าวกล้องร้อนๆ แสนอร่อย

         น้ำพริกทูน่าคลีน แทนที่จะใช้ปลาทูทอดที่ต้องมีน้ำมันท่วมก็ใช้ “ทูน่ากระป๋อง” แทน อนุโลมให้เป็นอาหารคลีนได้ ให้ตำน้ำพริกแบบทั่วไปแต่ “ไม่เค็มจัด” โขลกพริก, กระเทียม, หอมเติมไป ใส่เกลือไอโอดีนแทนน้ำปลาและกะปิ แล้วรับประทานกับผักลวก หรือนึ่ง

         สลัดไข่คลีน เหมือนสลัดไข่ทั่วไปเพราะไข่ถือเป็นอาหารคลีน จะเป็นไข่ต้ม, ไข่อบหรือไข่ปิ้งก็ได้ ใส่กับผักสดตามชอบ ที่แนะนำคือ บร็อคโคลีและมะเขือเทศ ส่วนน้ำสลัดขอให้เป็นน้ำใสหรือน้ำมันมะกอกแทนน้ำข้น รับรองว่าไขมันลดแต่อร่อยเพิ่ม

         สเต็กคลีน ใช้การอบแทนการทอด ใช้การย่างได้ โดยเลือกเนื้อไม่ติดมัน เช่น อกไก่คลีน สันในหมูคลีน พอร์คช็อปคลีน ปรุงรสได้โดยใช้พริกไทย, กระเทียมผงและใส่เกลือให้น้อย รับประทานกับผักย่างและข้าวกล้องเป็นไซด์ดิช แทนมันฝรั่งทอด เป็นสุดยอดอาหารสร้างกล้ามเนื้อ

         ไข่พะโล้คลีน สามารถดัดแปลงพะโล้ให้เป็นอาหาร คลีนแสนอร่อยแถมเก็บไว้กินนานได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ คือใช้ผงพะโลสำเร็จได้  แต่ขอให้เลือกชนิดที่เป็น “เครื่องเทศล้วน” อย่ามีผงชูรส หรือน้ำตาลปนเข้ามา แล้วก็หาเนื้อหมูหรือไก่แบบไม่ติดมัน มาใส่เพิ่มในพะโล้ก็ได้  โดยเน้นว่า ไม่เติมเค็มเกินไปจากซีอิ๊ว

         ทั้งหมดนี้เป็นเพียงโหมโรงของอาหารคลีนบาง ส่วนเท่านั้น เพราะเชื่อว่าทุกท่านที่อ่านอยู่สามารถทำได้หลากหลายกว่าที่ผมแนะนำ  ยกตัวอย่างว่าอาจต่อยอดสเต็กคลีนเป็นหมูปิ้งคลีน, สเต็กปลาดอรี่คลีน หรือปลานึ่งซีอิ๊วคลีนก็ยังได้  หรือถ้าเบื่อสลัดเพราะเคี้ยวจนกรามยืด ก็เปลี่ยนเป็น “สุกี้คลีน” ใส่ผักรวมไม่ใส่วุ้นเส้นแล้วผัดใส่เต้าหู้ยี้น้อยๆ ปรุงรสด้วยเกลือทะเลแทน จะได้ไอโอดีนเพิ่ม เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้อาหารคลีนแสนถูกปาก แถมสะดวกด้วยเพราะแม้ตามร้านอาหารตามสั่งก็ทำได้

         ท่านสามารถทำให้ทุกจานที่เคยรับประทาน “คลีน” ได้หมดโดยไม่ต้องอดอร่อย กินคลีนบ่อย ๆ อร่อยแถมได้สุขภาพดีด้วย

         ที่มา :  เว็บไซต์ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช ,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (American Board of Anti-aging medicine) และขอขอบคุณข้อมูลจาก คนสู้โรค ไทยพีบีเอส

          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

พบแบคทีเรียในผักสด แนะล้างให้สะอาด


      พบแบคทีเรียในผักสด ใบเรี่ยดินเปื้อนเชื้อ แนะล้างสะอาด
 
          น.ส.พฤกษวรรณ เจตนจันทร์ นักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการพิเศษ ฝ่ายจุลทรรศน์อิเล็กตรอน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำ เสนอการตรวจวิเคราะห์แบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่บนผักสด ด้วยเทคนิคจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 22 ว่า เนื่องจากผักหลายชนิดที่นิยมรับประทานสด เป็นพืชที่มีลักษณะลำต้นและใบเรี่ยติดผิวดิน หรือผิวน้ำ จึงมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย อาจก่อโรคในระบบทางเดินอาหารได้ การวิเคราะห์จึงตรวจหาแบคทีเรีย ที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของผักสด 5 ชนิด คือ ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักชี ผักกาดหอม และบัวบก จากพื้นที่ จ.นนทบุรี

          น.ส.พฤกษวรรณกล่าวต่อว่า การวิเคราะห์หาเชื้อแบคทีเรียบนผักสด ใช้เทคนิคจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดลำแสงส่องกราด ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษ กำลังขยายภาพสูงมาก จนมองเห็นเซลล์แบคทีเรีย จากการวิเคราะห์พบว่าการใช้เทคนิคกล้องจุลทรรศน์ พบวัตถุที่มีขนาดและรูปร่างที่ใกล้เคียงกับเซลล์แบคทีเรียชนิดแท่ง หมายความว่าผักใบเรี่ยดินนี้ปนเปื้อนแบคทีเรียได้ง่าย

          น.ส.พฤกษวรรณกล่าวว่า การศึกษาดังกล่าวเพื่อแจ้งเตือนภัยสุขภาพ แก่ผู้บริโภคที่นิยมรับประทานผักสด เพราะถ้าปนเปื้อนแบคทีเรีย ที่ก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยตามมา ซึ่งแบคทีเรียนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า การยืนยันว่ามีแบคทีเรียอยู่จริง จะช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงการปนเปื้อนที่อาจได้รับ และสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการล้างผักสดให้สะอาด โดยวิธีที่แนะนำ เช่น แช่น้ำด่างทับทิม และล้างให้ผ่านน้ำหลายๆ ครั้ง ก็จะช่วยลดโรคที่เกิดในระบบทางเดินอาหารจากเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ได้

          ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

กินผัก-ผลไม้ อิ่มสารอาหารหรืออิ่มสารพิษ?

          ผัก ผลไม้ ที่เราซื้อมานั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่าปลอดภัย จากสารเคมีตกค้าง มารู้จักสารพิษที่ตกค้างในผัก และวิธีการล้างผักเพื่อลดสารเคมีกันเถอะ



          ที่มา : เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thailand Pesticide Alert Network: Thai-PAN)

กินผักตำลึง ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

แนะประชาชนกินตำลึง เพราะมีประโยชน์ในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อย่างการช่วยรักษาโรคเบาหวาน

          นางฉวีวรรณ ชมภูเขา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าว ว่า ตำลึง หรือที่ชาวอีสานส่วนใหญ่เรียกว่า ผักดำเนิน นอกจากรับประทานเป็นผักใช้ประกอบอาหารได้แล้ว ตำลึงยังมีประโยชน์ในแง่การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย เช่น ใช้ผักตำลึงช่วยรักษาโรคเบาหวาน โดยใช้เถาแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ หรือจะใช้น้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 รอบ เช้า - เย็น จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับอินซูลิน และตำลึงยังช่วยบำรุงเลือดและป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

          นางฉวีวรรณ ชมภูเขา กล่าวต่อไป ว่าตำลึงเป็นพืชที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งเกิดตามธรรมชาติ ตามเรือกสวนและยังปลูกง่าย การบริโภคตำลึงเป็นอาหารไม่ว่าจะประกอบอาหารประเภท นึ่ง ลวก หรือแกงกับเนื้อสัตว์อื่นๆ ล้วนได้ประโยชน์ทั้งทางยาและโภชนาการด้วยกันทั้งสิ้น


          ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

พบสารต้องห้ามในส้ม สาลี่ เกษตรฯ


          กรมวิชาการเกษตร พบตัวอย่างผักและผลไม้สดมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRL ที่ประเทศไทยกำหนดพบสารพิษตกค้างร้อยละ 19.37

          นายดำรง จิระสุทัศน์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิด เผยว่า กรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช ตรวจสอบคุณภาพสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ สดนำเข้าผ่านด่านตรวจพืชภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าผักและผลไม้สดจากด่านตรวจพืชเชียงของ ด่านตรวจพืชเชียงแสน ด่านตรวจพืชแม่สาย ด่านตรวจพืชลาดกระบัง ด่านตรวจพืชแหลมฉบัง และด่านตรวจพืชท่าเรือกรุงเทพ มา ตรวจวิเคราะห์พบว่า ในสินค้าผักสดตรวจพบสารพิษตกค้างร้อยละ 19.37 โดยเฉพาะผักกาดฮ่องเต้ ตรวจพบสารพิษตกค้างสูงที่สุดถึงร้อยละ 80.00 ส่วนตัวอย่างผลไม้สดพบว่า ส้มตรวจพบสารพิษตกค้างสูงที่สุดถึงร้อยละ 83.33

          นอกจากนั้น ยังพบตัวอย่างผักและผลไม้สดมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRL ที่ประเทศไทยกำหนด ได้แก่ ถั่วลันเตาหวานและถั่วลันเตา พบสาร cypermethin ปริมาณสูงสุดที่พบ คือ 0.16 และ 0.10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เกินมาตรฐาน MRL ที่ไทยกำหนดไว้ 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบสาร L-cyhalothin ในผักกาดฮ่องเต้ 0.63 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งไทยกำหนดไว้ 0.20 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ พบสาร ethion ในส้มถึง 1.53 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งไทยกำหนดไว้ 1.00 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รวมทั้งตรวจพบสาร methidathion ในส้ม พบสาร endosulfan ในสาลี่ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ที่ห้ามใช้ในประเทศไทยด้วย

          ทั้งนี้แนวโน้มพืชกลุ่มเสี่ยงที่ตรวจพบสารพิษตกค้างมาก คือ ผักกาดขาว ผักกาด ฮ่องเต้ แก้วมังกร ทับทิม บร็อคโคลี่ ที่นำเข้าทางด่านตรวจพืชลาดกระบังและด่านเชียงของ ขณะที่ส้มและแอปเปิ้ลนำเข้าทางด่านตรวจพืชแม่สายและด่านลาดกระบัง ตรวจพบสารตกค้างและมีแนวโน้มของสารตกค้างเพิ่มมากขึ้น จึงต้องมีการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าผักและผลไม้สดของด่านตรวจพืชต่างๆ เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

         "กรมวิชาการเกษตร จะนำข้อมูลที่ได้รับไปเตือนประเทศคู่ค้า เช่น จีน พร้อมเฝ้าระวังพืชกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มในการพบสารพิษตกค้างเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผู้บริโภค ควรระมัดระวังในการซื้อผักและผลไม้สดนำเข้ามาบริโภค หรือก่อนที่จะบริโภคต้องล้างผักและผลไม้ให้สะอาดหรือกระทั่งมั่นใจว่า ปราศจากสารเคมีตกค้าง เพื่อป้องกันการสะสมสารพิษในร่างกาย" นายดำรง กล่าว

          ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ข้อแนะนำสำหรับ นักวิ่งใหม่


           สำหรับนักวิ่งใหม่ การเตรียมความพร้อมก่อนการหัดวิ่ง เป็นเรื่องสำคัญ ควรตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น เพื่อให้ทราบถึงข้อจำกัดและขีดความสามารถในการเริ่มออกกำลังกาย

          การเตรียมความพร้อม
1. ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางสรีรวิทยาและประเภทของการวิ่ง
2. ศึกษาลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อให้การวิ่งเป็นไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุข
3. วิ่งตามกำลังความสามารถในต้นทุนของร่างกายที่มีอยู่ ไม่ควรใจร้อนและหักโหมหรือวิ่งตามภาวะรอบข้าง
4. เมื่อรู้สึกถึงอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นเช่น หน้ามืด ใจสั่น เวียนศีรษะ ตาลายหรือมีอาการบาดเจ็บควรหยุดพักทันที
5. พึงท่องอยู่เสมอว่า วิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ที่ใครๆ ที่เดินได้ก็วิ่งได้
6. วิ่งเป็นการออกกำลังกายที่เห็นสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ถ้ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ
7. วิ่งเป็นการออกกำลังกายที่สร้างสัมพันธภาพที่ง่ายและสร้างเสริมสังคมที่ดี
8. เมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเอง ควรแนะนำกับคนรอบข้างให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการวิ่ง
9. รักครอบครัว รักเพื่อน รักคนรอบข้าง ต้องชวนให้ทุกคนมาวิ่งออกกำลังกายเพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี

          ก่อนการวิ่ง
1. ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหนักในช่วง 2 ชม.ก่อนการวิ่ง
2. ดื่มน้ำสะอาดก่อนการออกวิ่ง 30 นาที 1 - 2 แก้ว ประมาณ 100 - 200 cc.
3. ค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกาย โดยการเดินสลับวิ่งเหยาะๆ เพื่อให้อวัยวะต่างๆที่จะต้องรับกับการทำงานที่เพิ่มขึ้นเช่น หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่างๆมีการเตรียมตัว เพิ่มความยืดหยุ่นมีความคล่องตัวกระฉับกระเฉง
4. เมื่อรู้สึกร้อน เหงื่อซึมเล็กน้อย มีความรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น เริ่มเล่นกายบริหารในท่าง่ายๆสมัยเด็กๆ เช่น หมุนแขน หมุนไหล่ หมุนเอว บริหารข้อเท้า ข้อเข่า ยืดเหยียดส่วนหลัง ลำตัว แขน ขาอย่างช้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้
5. เริ่มออกเดินและวิ่งตามโปรแกรมที่ถูกออกแบบขึ้นมาอย่างเหมาะสม

          ขณะวิ่ง
1. หลีกเลี่ยงการวิ่งในที่มีแสงแดดจัด พยายามวิ่งในที่ร่มและที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี
2. สวมใส่ชุดหรือเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี ไม่คับหรือหลวมเกินไปหรือเป็นชุดหนาและอบความร้อน
3. จิบน้ำทีละนิด บ่อยๆตามต้องการ หรือทุก 10 - 15 นาทีในขณะที่วิ่ง อย่ารอจนรู้สึกกระหายน้ำ
4. ถ้ามีอาการหน้ามืด ใจสั่น ตาลาย เจ็บหน้าอก ควรหยุดวิ่งและนอนราบกับพื้นในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเทได้ดี
5. วิ่งในท่าทางที่สบาย ไม่เกร็ง ให้เป็นธรรมชาติของตัวเองมากที่สุด หายใจด้วยจังหวะที่รู้สึกถึงความสบายและผ่อนคลาย
6. อย่าฝืนวิ่งเมื่อรู้สึกถึงอาการเจ็บ อ่อนเพลียหรือเมื่อยล้า
7. วิ่งในสถานที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยว พื้นทางวิ่งที่ราบเรียบ ไม่ขรุขระหรือมีการสัญจรพลุกพล่าน
8. หาเพื่อนไปวิ่งด้วยหรือเข้ากลุ่ม ชมรมวิ่งต่างๆ จะทำให้การวิ่งมีรดชาดและสนุกมากยิ่งขึ้น

          หลังการวิ่ง
1. ต้องค่อยๆ ปรับให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการวิ่งเหยาะๆและเดิน
2. ยืดเหยียดเพื่อคลายกล้ามเนื้อและเล่นกายบริหารในท่าง่ายๆ
3. ดื่มน้ำทีละนิดอย่างช้าๆหลังจากการวิ่งอีก 1 - 2 แก้ว ประมาณ 100 - 300 cc.
4. รับประทานอาหารที่สร้างเสริมสุขภาพครบทุกหมู่
5. ควรหลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
6. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึกเกิน 4 ทุ่มโดยไม่จำเป็น
7. บำบัดอาการเมื่อยล้าที่อาจเกิดขึ้นจากการซ้อมตามอาการที่เกิดขึ้น
8. บันทึกสถิติการฝึกซ้อมและอัตราการเต้นของชีพจรเป็นประจำทุกวัน
9. เมื่อมีอาการบาดเจ็บ หรืออ่อนเพลียให้หยุดพักทันที

 ที่มา : สมาพันธ์ชมรมเดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย โดย สถาวร จันทร์ผ่องศรี

ออกกำลังกายดีอย่างไร


      ปัจจุบันการออกกำลังกายได้ รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากคนเกือบทุกเพศทุกวัย จุดประสงค์ในการออกกำลังกายก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางท่านออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ในขณะที่บางท่านออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ วิธีการออกกำลังกายของสองเป้าหมายนี้ต่างกันหรือไม่? แล้วโดยทั่วไปควรออกกำลังกายอย่างไร?

       “การออกกำลังกายแบบแอโรบิค” และ “การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค” ต่างกันเช่นไร  หลายๆคนคงเคยได้ยินคำเหล่านี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าทั้งสองคำมีความแตกต่างกันอย่างไร

      การออกกำลังกายแบบแอโรบิค หมายถึง การออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย โดยลักษณะจะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงมากแต่มีความต่อเนื่องเช่นเดิน วิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้นจึงเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง

      การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค หมายถึง การออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยไม่อาศัยออกซิเจน แต่จะอาศัยสารเคมีในร่างกายแทน ลักษณะจะเป็นการออกกำลังกายใช้แรงมากเช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้นจึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

      ออกกำลังกายมาก-น้อย แค่ไหนจึงจะมีประโยชน์ต่อหัวใจ
      การออกกำลังกายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ ออกกำลังกายมากพอที่จะทำให้หัวใจเต้น(หรือชีพจร)มีค่าระหว่าง 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจของบุคคลนั้นๆ ซึ่งอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-อายุ(ปี)

      ตัวอย่าง  เช่น คนอายุ 50 ปี มีอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-50 = 170 ครั้งต่อนาที ดังนั้นการออกกำลัง กายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจ คือ ออกกำลังกายแล้วหัวใจเต้นได้ 60-80% ของ 170 ครั้งต่อนาที เทียบเท่ากับ ระหว่าง 119-136 ครั้งต่อนาที

      บางครั้งการจับชีพจรขณะออกกำลังกายอาจไม่สะดวก ผู้ออกกำลังกายสามารถใช้การสังเกตความรู้สึกเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนได้

      ออกกำลังกายระดับหนัก หมายถึง ออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อยมากโดยหายใจแรงและเร็ว หรือหอบขณะออกแรง/ออกกำลังกายไม่สามารถคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยค

     ออกกำลังกายระดับปานกลาง หมายถึง การออกกำลังกายหรืออกแรงจนทำให้รู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหรือเหนื่อยกว่าปกติพอ ควรโดยหายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย หรือหายใจกระชั้นขึ้นไม่ถึงกับหอบ หรือขณะออกกำลังกายหรือออกแรง ยังสามารถพูดคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยคและรู้เรื่อง

      ออกกำลังกายในระดับน้อย  หมายถึง  การออกกำลังกายหรืออกแรงน้อย ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อมากกว่าปกติ

      นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเรื้อรังและอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยว ข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่สำคัญการออกกำลังกายช่วยลดและป้องกันภาวะความเครียดทางอารมณ์ได้อีกด้วย ดังนั้นหันมาออกกำลังกายกันเถอะค่ะ

       ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
       ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

คนไทยออกกำลังแค่ 10%


        พบคนไทยออกกำลังกายต่ำ แนะสามารถปรับรูปแบบการออกกำลังกาย ให้เหมาะสมตามเวลาและสถานที่ได้
         นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จาก การสำรวจสถานการณ์การเคลื่อนไหวออกแรง /ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของคนไทย พบว่าอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ร้อยละ 20 มีกิจกรรมทางกายต่ำ ส่วนการออกกำลังกายพบว่าผู้ใหญ่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที ร้อยละ 22-24 และมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ออกกำลังกาย เพียงพอต่อการป้องกันและลดความเสี่ยงเกิดโรค

        สำหรับกลุ่มวัยทำงาน เป็นวัยที่มักมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา ทั้งที่วัยนี้นับว่ามีความจำเป็นมาก เพราะร่างกายต้องได้รับการรักษาและฟื้นฟูในส่วนที่สึกหรอจากการทำงาน ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมตามเวลาและสถานที่ได้ เช่น การทำงานบ้านหรือฝึกกายบริหารแบบง่ายๆ เช่น แกว่งแขน เดินขึ้นบันได เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น จะช่วยให้ปอด หัวใจ กล้ามเนื้อ แข็งแรง ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย ควรเคลื่อนไหวออกกำลังระดับปานกลางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที และควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย และ ไม่หักโหมมากเกินไป

       ที่มา: มติชน
       ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

เผาผลาญแคลอรีอย่างไรดี


          มีคำถามมาเสมอๆ ว่าวิธีการใดเป็นการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันที่ดีที่สุด บางคนอาจจะบอกว่าออกกำลังกายไว้ก่อน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าออกกำลังกายไม่ถูกต้อง หรือหักโหมจนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่ได้ผลตามที่ต้องการอีกด้วยครับ

          จากการศึกษาพบว่า โปรแกรมการออกกำลังกายที่ดีและช่วยให้ได้ผลตามที่ต้องการนั้น จะต้องทำการบริหารร่างกายแบบยกเวจ สร้างกล้ามพื่อเนื้อเควบคู่กันไปกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันส่วนเกินออกไปจะต้องทำ แอโรบิกเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วการบริหารร่างกายแบบยกเวจ (weight training) ก็สำคัญและมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อที่ได้สัดส่วนสวยงามแล้ว ยังมีส่วนช่วยเพิ่มมวลของกล้ามเนื้อ ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญพลังงานหรือแคลอรีที่มากขึ้นตาม

           โดยถ้าเรามองเฉพาะแอโรบิกก็มีอยู่หลายวิธีที่สามารถออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญ ไขมันหรือแคลอรีส่วนเกินออกไปได้ เช่นเดียวกันเรามักจะได้ยินคนพูดถึงการเผาผลาญไขมันจะต้องใช้วิธีการออก กำลังกายแบบเบาๆ ไม่หนักมาก แต่ใช้เวลานานเพื่อผลในการเผาผลาญเปอร์เซนต์ของไขมันที่มากกว่า ความเชื่ออันนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะว่าถ้ามีการออกกำลังกายแบบเบาๆ ประมาณ 40–50% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ซึ่งหาได้จาก 220- อายุ ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันมากกว่าก็จริง แต่ถ้ามองถึงแคลอรีโดยรวมแล้วจะมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าการออกกำลังกาย ที่หนัก แถมยังเปลืองเวลากว่าด้วย

           เช่น การเดินเร็วๆ 50–60 นาที อาจมีการเผาผลาญแคลอรีประมาณ 250–300 แคลอรี (เปรียบเทียบจากคนที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม) จะเป็นการเผาผลาญแคลอรีจากไขมันประมาณ 120–180 แคลอรี หรือประมาณ 50-60% จากแคลอรีโดยรวม เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายที่มีความหนัก 65–80% maximum heart rate เช่น การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 6–7 ไมล์ต่อชั่วโมงในระยะเวลาที่เท่ากันสามารถเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 700–800 แคลอรี เมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ของการเผาผลาญไขมันอาจอยู่ที่ 30–40% เท่านั้น แต่เมื่อดูถึงปริมาณของแคลอรีที่ใช้ไปจะเผาผลาญพลังงานได้ถึง 210–320 แคลอรี ถ้ามีการออกกำลังกายลักษณะนี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถเผาผลาญไขมันได้ ปริมาณใกล้เคียงกับการออกกำลังกายเบาๆ แต่ใช้ระยะเวลานานกว่า

          ดังนั้นถ้าร่างกายของเราฟิตและแข็งแรงดีสามารถออกกำลังกายได้เต็มที่ ก็ควรบริหารร่างกายแบบ aerobic exercise ที่มีความหนักมากๆ ได้เลย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญไขมันและแคลอรีโดยรวมได้มากเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายที่หนักยังมีผลทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงาน ต่อเนื่องไปประมาณ 24–48 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกายไปแล้ว ซึ่งการบริหารร่างกายแบบเบาๆ จะไม่เกิดผลเช่นนี้ ถ้าพิจารณาน้ำหนักของไขมันที่ต้องการกำจัดออกไป 1 กิโลกรัมจะต้องมีการเผาผลาญแคลอรีอย่างต่ำประมาณ 7,700 แคลอรี โดยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรีให้มากอาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการ ออกกำลังกายแบบแอโรบิกชนิดต่างๆ ดังนี้

          สำหรับการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา (Interval Training) ส่วนใหญ่แล้วจะพบเห็นโปรแกรมลักษณะนี้ในเครื่องออกกำลังกายแบบ cardio ชนิดต่างๆ มีตั้งแต่โปรแกรม interval ธรรมดาไปจนถึงโปรแกรมที่มีลักษณะของความหนักเบาที่แตกต่างกันออกไป เช่น heart rate interval, trail blazer, alpine หรือแม้แต่โปรแกรม fat loss ก็เป็น interval training เช่นเดียวกัน โดยการออกกำลังกายที่มีความหนักสลับเบานี้มีผลทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้มากขึ้นตาม

           Circuit Training: เป็นการออกกำลังกายแบบ weight training หรือ cardio machines เพียงอย่างเดียว หรือผสมผสานกันไประหว่างอุปกรณ์ทั้ง 2 แบบ ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้สามารถเผาผลาญได้ตั้งแต่ 10–12 แคลอรีต่อนาทีขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกายด้วย) การเพิ่ม stations หรือสถานีเข้าไปยิ่งเพิ่มระยะเวลาทั้งหมดในการออกกำลังกาย จะสามารถเพิ่มแคลอรีได้มากขึ้นตาม และสามารถกำหนดให้มีได้ตั้งแต่ 4–12 สถานี ถ้าสถานีไม่มากสามารถทำซ้ำได้ 2–3 รอบ หรือถ้ามีจำนวนสถานีมากอาจทำแค่รอบเดียวก็ได้

            Body Attack: เป็นแอโรบิคคลาสที่เพิ่มความทนทานและความแข็งแรงให้กับทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งโปรแกรมหลักของคลาสนี้ก็เป็นลักษณะของ interval training โดยช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี ในคลาสนี้เมื่อออกกำลังกายครบ 45 นาทีสามารถเผาผลาญได้ถึง 500–550 แคลอรี

            Body Pump: การออกกำลังกายลักษณะนี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระชับ เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานกล้ามเนื้อให้ได้สัดส่วนที่สวยงามแล้ว เนื่องจากคลาสนี้เป็นการยกน้ำหนักในขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิค จึงช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เป็นอย่างดี

            RPM หรือ Spinning: เป็นแอโรบิคคลาสที่ใช้การปั่นจักรยาน สามารถเผาผลาญได้มากประมาณ 600–800 แคลอรี ในระยะเวลาประมาณ 45 นาที ถือว่าเป็นคลาสที่ช่วยในการลดไขมันได้เป็นอย่างดี

             การเผาผลาญแคลอรีไม่เพียงแต่เกิดจากการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ระหว่างที่คุณทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันก็สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะเวลาของการทำกิจกรรมนั้น เช่น การล้างรถ ร่างกายจะเผาผลาญประมาณ 112–150 แคลอรี ภายใน 30 นาที ดังนั้นถ้าเราต้องการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีในแต่ละวันให้มากขึ้น ก็ควรเพิ่มหรือทำกิจกรรมในแต่ละวันให้มากขึ้น อย่านั่งเฉยๆ ดูทีวีเพียงอย่างเดียวนะครับ จะได้ช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยต่างๆ มาเบียดเบียนครับ

                ที่มา : เว็บไซต์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดย สมพัฒน์ จำรัสโรมรัน ที่ปรึกษาด้านการออกกำลังกาย

             ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ


        การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งประกอบด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเราเองอย่างเหมาะสมถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหาร อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ การป้องกันโรค การใช้ไลฟ์สไตล์ (Life Style) ที่ถูกต้องไม่ทำลายสุขภาพของตัวเราทั้งระยะสั้นและระยะยาว และที่สำคัญคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ   ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกาย(กล้ามเนื้อ)มีความแข็งแรง มีความสดชื่น กระฉับกระเฉง เป็นต้น

          ซึ่งวิธีการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีแตกต่างกันเช่น การเดินเร็ว ๆ การวิ่งเยาะ ๆ การเต้นแกว่งแขน ยกขา อยู่กับที่ ในบ้าน ในสนามหน้าบ้าน การรำมวยจีน ไทเก็ก การใช้ไม้พลองประกอบ   การทำโยคะ การเต้นแอโรบิคที่ถูกต้อง และที่สำคัญ มาก ๆ คือ   จะต้องดูตัวเราเองว่า อายุ สุขภาพ ของเราเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหนดีที่จะมีประโยชน์เหมาะกับร่างกายของเรา มากที่สุด ไม่ใช่ว่าจะออกกำลังกายตามคนอื่น ๆ

         วิธีการออกกำลังกาย
        การออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจะต้องให้กล้ามเนื้อหลักๆ หรือกล้ามเนื้อชุดใหญ่ได้เคลื่อนไหวหรือที่เรามักจะพูดกันว่า ให้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ได้ทำงาน เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา ท้อง คอ รวมทั้งปอดและหัวใจ

       ประโยชน์ของการออกกำลังกาย 
          1. ทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ หรือร่างกายนั่นเอง การทำงานของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อคล่องแคล่วขึ้น
          2. ช่วยขับของเสียที่เกิดจากกระบวนการ เมแทโบลิซึม (Metabolism) ของเซลล์ ออกจากร่างกาย   เช่น คาร์บอนไดออกไซด์   ที่ออกมาพร้อมลมหายใจออก ของเสียที่ออกมาพร้อมเหงื่อ และ ปัสสาวะ เป็นต้น
          3. กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงขึ้น สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี รวมทั้งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจด้วยเช่นกัน
          4. ช่วยในการทำงานของต่อมไร้ท่อดีขึ้น เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
          5. ลดไขมันในเลือด กล้ามเนื้อ และ กระดูกแข็งแรง ช่วยให้เอ็นที่ยึดข้อต่อต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
          6. ช่วยให้ ระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบ อิมมูน (Immune System) ของร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
          7. ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ เป็นการลด ความเครียด ของร่างกาย เพราะถ้าเรามีความเครียดมาก ๆ จะนำไปสู่โรคภัยต่าง ๆหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน โรคหัวใจ การขับถ่ายผิดปกติ และ  ที่สำคัญยิ่งคือ ความเครียดจะนำไปสู่การเป็น โรคมะเร็ง ได้

         เวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย
            เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนเราในสังคมยุคปัจจุบัน  ทั้งในเมืองเล็กเมืองใหญ่ ในแต่ละวันจะต้องตื่นแต่เช้ารีบเร่ง ไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วต้องรีบกลับบ้าน การจราจรที่ติดขัด ดังนั้นการที่จะบอกว่า ออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดนั้นคงบอกชัดเจนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเวลา และความพร้อมของแต่ละคน
 
           ตอนเช้าอากาศค่อนข้างดี มีมลภาวะน้อย ก็เหมาะในการออกกำลังกาย ตอนเย็นหลังจากเลิกงาน ช่วงเวลา 16:00 - 18:00 น. ก็เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องไปทำงาน และเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อที่ได้เคลื่อนไหวมาในตอนกลางวันแล้ว ทำให้การยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อดีขึ้นที่จะออกกำลังกายในตอนเย็น

         ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนที่จะต้องพิจารณาตัวเอง ว่าควรจะออกกำลังกายเวลาไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง คงไม่มีกฎตายตัวสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบัน   แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งคือร่างกายของคนเราต้องมีการออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายมีสุขภาพดี

        ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
        ระยะเวลาในการออกกำลังกาย จะออกกำลังกายนาน กี่นาที กี่ชั่วโมง เรื่องนี้ก็เช่นกัน ทางด้านการแพทย์ก็ไม่ได้กล่าวไว้ตายตัวว่าออกกำลังกายนานแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง เช่นความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ
        แต่โดยทั่วไปทางการแพทย์แนะนำให้ ออกกำลังกายนานประมาณ 10 – 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน หรือ วันเว้นวัน หรือ ออกกำลังกาย 10 นาที แล้วรู้สึกเหนื่อยก็ให้หยุดพักก่อน แล้วจึงออกกำลังกายต่ออีก จนครบเวลา 30 นาที ก็ได้

        การออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
        รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ อภิชาติ   อัศวมงคลกุล   ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่า ผู้ที่ออกกำลังกายควรเลือกการออกกำลังกายตามแบบที่ชอบและสะดวกที่สุด แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรค หัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกวิธีออกกำลังกาย   นอกจากนี้การออกกำลังกายในครั้งแรก ๆ ไม่ควรหักโหมมาก การออกกำลังกายที่ดี ควรเป็นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นครั้งคราวแต่หักโหม

        ในขณะออกกำลังกายให้ท่านสังเกตอาการของตัวเราในขณะออกกำลังกายด้วย โดยสังเกตอาการดังต่อไปนี้
1. หัวใจเต้นมาก เต้นแรง จนรู้สึก
2. หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
3. เหนื่อย ใจหวิว ๆ จนเป็นลม

           หากมีอาการดังกล่าวก็ให้หยุดออกกำลังกาย พักร่างกายสัก 2 วัน และเวลาออกกำลังกายครั้งต่อไปให้ลดระดับการออกกำลังกายลงการเตรียมตัวสำหรับ การออกกำลังกาย

          1. ก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง ควรรับประทานอาหารรองท้อง เช่น ดื่มนม   โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ 1 แก้ว (ไม่ใช่รับประทานเป็นอาหารหลัก) หากไม่กินอะไรเลยเวลาออกกำลังกายมีโอกาสเป็นลมได้
          2. ต้องทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง เช่นเดินภายในบ้าน รอบ ๆ บ้าน ในสนาม หรือที่ๆ เหมาะสม ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลอดเลือดมีการเตรียมความพร้อมมากขึ้น
          3. เริ่มออกกำลังกายตามปกติ
          4. หลังจากออกกำลังกายตามปกติแล้ว อย่าหยุดออกกำลังกายทันที ควรผ่อนการออกกำลังกายลงจนกระทั่งชีพจรหรือการหายใจจะเข้าสู่ภาวะปกติ จึงหยุดการออกกำลังกาย

            ขอให้มีความสุขกับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยรวมจะได้แข็งแรง สุขภาพดี จิตใจดี อารมณ์ดี  ความเครียดลดลง โรคภัยจะได้ไม่มาเยี่ยมกรายเรา


        ที่มา: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ
        ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ถอดรหัสการออกกำลังกายแบบ 25 นาที ยอดฮิต


          ช่วงนี้ไปไหนใครๆ ก็พูดถึงโปรแกรม “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”  หรือการออกกำลังกายแนวใหม่ ที่กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้กระทั่งดารา และกลุ่มคนรักการออกกำลังกาย จากจุดเด่นที่ใช้เวลาออกกำลังกายเพียง 25 นาทีต่อวันเท่านั้น ประจวบเหมาะกับในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพ และออกกำลังกายกันมากขึ้น ยิ่งทำให้กระแสของ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”  ทวีคูณไปกันใหญ่
 
         เรามาลองทำความรู้จัก “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” กันเลย
          “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” โปรแกรม การออกกำลังกายใหม่ ที่ใช้เวลาเพียง 25 นาทีในหนึ่งวันเท่านั้น แต่ได้ประสิทธภาพเทียบเท่าการออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะแต่ละท่ามาแบบจัดเต็ม ใช้ทุกสัดส่วนของร่างกายเป็นหลัก โดยมีไอเดียการออกแบบจากเทรนเนอร์มากประสบการณ์ Shaun T เจ้าของโปรแกรมการออกกำลังกาย Insanity ที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่ง Shaun T โดดเด่นในความสามารถที่ทำให้ผู้ออกกำลังกายรู้สึกสนุก อิน และมีอารมณ์ร่วมกับเทรนเนอร์ เหมือนอยู่ด้วยกันจริงๆ

          ส่วนสำคัญที่ทำให้ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” เป็นที่ถูกอกถูกใจคนรักสุขภาพทั่วไป เป็นเพราะความสะดวกจากการใช้เวลาต่อวันเพียงแค่ 25 นาทีเท่านั้น กลุ่มผู้ใช้จึงเป็นวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ ที่มีเวลาออกกำลังกายค่อนข้างน้อย จึงประหยัดเวลา และสามารถเล่นที่ไหนก็ได้ ออฟฟิศ บ้าน เล่นกันได้ทั้งครอบครัว ทุกเพศวัย แถมใช้พื้นที่ไม่เยอะ บวกกับอุปกรณเสริมอีกเล็กน้อยเท่านั้น

          ตวงรัตน์ ไทยหอมหวล นักกายภาพบำบัดและผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุปกรณ์ทางแพทย์ กล่าว ถึง “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที”  ว่า หากจะเปรียบเทียบการออกกำลังแบบปกติ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ในแบบวันต่อวันคงไม่ได้ เพราะปกติคนเราต้องออกกำลังกายวันละ 30-45 นาที เป็นอย่างน้อย หรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ถูกเซ็ตเอาไว้แล้ว ด้วยการออกกำลัง วันละ 25 นาที และ 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้ผลลัพธ์อยู่ในระดับพอๆ กัน ซึ่งในแต่ละเซ็คชั่นของ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” มีการวางโปรแกรมให้การออกกำลังกายที่พอเหมาะ และถูกทดสอบมาแล้ว จึงไม่ใช่การหักโหม แต่อยู่ที่ความพร้อมของผู้เล่นมากกว่า

          ซึ่งข้อจำกัดตรงนี้่ คือ ผู้เล่นต้องไม่เป็นโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคความดันสูง-ต่ำ เพราะ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” มีท่าการเต้นที่ค่อนข้างเร็วและต่อเนื่อง ต่างจากการเต้นแอโรบิค ที่มีการไล่ท่าตามลำดับหนักเบา โดยคำแนะนำของการเล่น “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ผู้เล่นควรมีสภาพร่างกายที่พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ โดยในเทปมีการวอร์มอัพอยู่ในตัว จึงพร้อมสำหรับการออกกำลังกายจริงๆ แต่เรื่องจะได้ผลลัพธ์ตามที่โฆษณาไว้หรือเปล่า อยู่ที่ตัวผู้เล่น การทำท่าต่างๆ ต้องทำแบบเต็มที่ จริงจัง ถึงจะเห็นผล

          สำหรับประเด็นกระแสยอดนิยมของ “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ตวงรัตน์มองว่า เป็นเรื่องของการทำการตลาดที่น่าสนใจ ด้วยคีย์เวิร์ด "ออกกำลังกายภายใน 25 นาที" ทำให้คนที่เวลาน้อย และไม่สะดวกไปกำลังกายนอกสถานที่ มีความสนใจในตัวโปรแกรม “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” มากขึ้น และการประชาสัมพันธ์ที่ทันสมัย มีการบอกต่อในสังคมออนไลน์ จึงทำให้ผู้คนอยากลองใช้ แถมค่าใช้จ่ายไม่แพงด้วย

          เมื่อมาดู “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” แบ่งการออกกำลังกายทั้งหมดเป็น 3 เฟสด้วยกัน เริ่มจาก Alpha เป็นเซ็คชั่นที่ออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อทุกสัดส่วนในเวลา 5 สัปดาห์แรก เป็นการฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนลุยต่อในเฟสที่สอง Beta กับระยะเวลา 5 ที่เหลือ โดยเซ็คชั่นนี้เป็นการออกกำลังในส่วนกลางของลำตัว หรือส่วนหน้าท้องทั้งหมด ก่อนปิดท้ายด้วย Gamma เป็นการรวบรวมทั้ง 3 เฟสเข้าด้วยกัน ซึ่งแต่ละเฟสมีตารางรายละเอียดการออกกำลังกายดังนี้

          1.Cardio
          เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายตาม เทรนเนอร์เต้นหนักติดต่อกันนาน 25 นาที ไม่มีหยุดพักโดยโปรแกรมนี้จะเน้นให้ขยับแขน-ขาอย่างเร็ว เพื่อให้หัวใจเต้นแรง ตามแบบแบับ Cardioซึ่งเน้นการเต้นของหัวใจ และช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงที่สำคัญยังช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้ เยอะทีเดียว

          2.Speed 1.0
          เร่งจังหวะขึ้นมากับ Speed1.0เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายแบบเร็วๆ มีมูฟเมนท์มากขึ้นมีการผสมผสานท่าออกกำลังกายแบบแดนซ์มันๆ ได้ขยับทุกสัดส่วนของร่างกายสามารถเบิร์นไขมันออกได้เพียบ

          3.Total Body Circuit
          เน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆมี ท่วงท่าแอโรบิกผสมผสานโยคะ บวกกับยิมนาสติกเบาๆ โปรแกรมนี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอาศัยแค่ความอดทนของผู้เต้นเท่านั้นเช็ค ชั่นนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อท้องได้แบบเต็มๆ

          4.AB Intervals
          การออกกำลังกายเซ็ตนี้จะได้กล้ามเนื้อบริเวณ หน้าท้องเป็นพิเศษความหนักห่วงของโปรแกรมนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจแรง และเร็วมากแม้เราจะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็ตามเป็นเพราะเทรนเนอร์ต้อง การให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายพร้อมกับให้บริหารกล้ามเนื้อหัวใจไปด้วย

          5.Lower Focus
          เซ็ตนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากลดต้นขากระชับ ให้เรียวเล็ก โดยจะเน้นบริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง ตั้งแต่สะโพกยันปลายเท้าใครที่เต้นตามอาจเมื่อยขาสุดๆ แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะต้องน่าพอใจแน่นอน

          6.Stretch
          ปิดท้ายด้วยท่ายืดกล้ามเนื้อเบาๆหลังจากที่ ลุยทั้ง 5 เซ็คชั่นมาอย่างหนักหน่วงท่วงท่าเซ็ตนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายความตึง เครียดโดยจะใช้อุปกรณ์เสริมแค่เบาะรองกับรองเท้าผ้าใบสามารถเรียกเหงื่อและ คลายความเมื่อยล้าได้ปลิดทิ้ง

          Beta Cycle
          หลังจากผ่าน 5 สัปดาห์แรกมาแล้ว ในส่วนของ Beta จะเน้นการออกกำลังกายบริเวณส่วนกลางลำตัวและหน้าท้องโดยโฟกัสไปที่ความแข็ง แรงของกล้ามเนื้อ ประกอบด้วย 5เซ็คชั่นดังนี้

          1.Cardio
          จัดหนัก จัดเต็มกว่า 5สัปดาห์แรก แต่ยังคงพื้นฐานเดียวกันกับ Alpha คือเน้นบริหารกล้ามเนื้อหัวใจแต่เพิ่มท่าบริหารกล้ามเนื้อท้องเสริมเข้ามาใน เซ็คชั่นนี้ ท่า PlankDiagonal Lift มีลักษณะคล้ายท่าวิดพื้นแต่ยกแขะและขาขึ้นอย่างละข้าง ซึ่งเราต้องพยายามทรงตัวให้ได้เป็นการเกร็งกระชับกล้ามเนื้อทั้งส่วนแขนและ ขา

          2.Speed 2.0
          จาก 1.0 คูณสองเข้าไปแต่ยังคงแพทเทิร์นด้วยท่าเต้นจังหวะเร็วๆ สนุกๆ เน้นท่วงท่าที่สนุกสนานเร้าอารมณ์จนลืมเหนื่อยเลยทีเดียว โดยชีพจรจะเต้นแรงใครที่ชอบท่าเต้นสไตล์โคฟเวอร์ แผ่น Speed 2.0จะต้องถูกใจแน่ๆ

          3.Rip′T Circuit
          ท่านี้มีอุปกรณ์เข้ามาช่วยเล็กน้อยเป็นดัม เบลขนาดเหมาะมือ หากดัมเบลน้ำหนักเยอะกล้ามก็ยิ่งขึ้นชัดเจนโดยจะเต้นแบบคาร์ดิโอ ตามด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และหน้าท้องก่อนวนกลับไปเต้นคาร์ดิโออีกรอบ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 25นาที ชิลๆ ไม่หนักหนาสาหัส แต่ก็เรียกเหงื่อและเบิร์นแคลอรี่ได้ดีทีเดียว

          4.Dynamic Core 
          เน้นใช้พละกำลังของร่างกายเป็นหลัก โดยจะได้บริหารกล้ามเนื้อส่วนกลางลำตัวทั้งด้านหน้าและหลัง มีท่า Side Plank ที่ต้องนอนตะแคง และเท้าแขนไว้ข้างหนึ่ง เหยียดขาให้สุดตรง ยกลำตัวขึ้นลงไปมา

          5.Upper Focus
          เน้นการบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน ใช้กำลังแขนเป็นหลัก เพื่อกระชับต้นแขนและส่วนไหล่ มีดัมเบลขนาดน้ำหนักพอเหมาะเป็นอุปกรณ์เสริม แต่ควรใช้น้ำหนักที่พอดี ไม่อย่างนั้นกล้ามขึ้นแน่ๆ

          6.Stretch
          ส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยจะคล้ายๆ ในส่วนของ Alpha คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยิดเส้นยืดสาย หลังจากออกกำลังหนักๆ มาตลอด 5 เซ็คชั่น

          นอกจากการออกกำลังกายแล้ว เอฟเฟกต์จากการเล่น T25 ยังทำให้เรามีระเบียบวินัยในการควบคุมอาหาร โดยการหันมากินอาหารคลีนเพื่อสุขภาพควบคู่ไปด้วย ซึ่งทำให้สามารถป้องกันจากโรคต่างๆ ทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทาน ปรับสมดุลในร่างกายให้ดีขึ้น ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เลือดลมไหลเวียนดีกว่าตอนไม่ได้ออกกำลังกาย แถมกล้ามเนื้อแข็งแรง กระฉับกระเฉงมากขึ้น

          เท่านี้ก็น่าจะรู้จักกับเจ้า “การออกกำลังกายแบบ 25 นาที” ในระดับหนึ่งแล้ว หากใครที่สนใจ เตรียมฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนลุย เพราะท่วงท่าและโปรแกรมต่างๆ ค่อนข้างจัดเต็ม หนักหน่วง แต่ขอให้จริงจังกับการออกกำลังกาย ทานอาหาร ควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย และพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ก็ทำให้เรามีรูปร่างที่ดี และสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว


          ที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

การออกกำลังกายในวัยต่างๆ


    การออกกำลังกายตามวัยแต่ละวัย ควรทำอย่างเหมาะสมทั้งวัยเด็ก และวัยสูงอายุ เพื่อชะลอการเสื่อมของร่างกาย และส่งเสริมให้ระบบต่างๆ  ของร่างกาย 
 
     วัยเด็กเป็นวัยที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาทางด้านร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  สังคม และสติปัญญา  การออกกำลังกายจะช่วยส่งเสริมให้ระบบต่างๆ  ของร่างกาย  เช่น  ระบบกระดูก  ระบบกล้ามเนื้อ  ระบบข้อต่อต่างๆ  รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กได้อีกด้วย

     หลักของการออกกำลังกายในวัยเด็ก
1. กิจกรรมการออกกำลังกาย  ได้แก่  วิ่ง  เล่นกีฬาต่างๆ  เช่น  ฟุตบอล  บาสเกตบอล  เทนนิส  แบดมินตัน  ว่ายน้ำ  เป็นต้น
2.  ความหนักของการออกกำลังกาย  โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 60-80 % ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด
3. ความนานของการออกกำลังกาย  ใช้เวลา  20-60 นาที
4. ความบ่อยของการออกกำลังกาย  3-5  วันต่อสัปดาห์

     ข้อแนะนำในการออกกำลังกาย
1. กิจกรรมการออกกำลังกาย  ควรเน้นความสนุกสนาน  รูปแบบที่ง่ายๆ
2. ควรคำนึงถึงความปลอดภัย  ไม่หนักเกินไป
3. ควรจัดกิจกรรมในลักษณะค่อยๆ  เพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังกายจนถึงระดับหนักปานกลาง
4. ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย  และผ่อนร่างกายหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง
5. การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  ควรใช้กิจกรรมลุกนั่ง  ดันพื้น  โหนบาร์  ยกลูกน้ำหนักที่ไม่หนักมาก

     ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย
1. เมื่อเด็กไม่สบายมีไข้  ตัวร้อน  ไม่ควรออกกำลังกาย
2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการปะทะกระทบกระเทือนหรือใช้ความอดทนมากเกิดไป
3. สภาพอากาศร้อน  มีแสดงแดดมาก  ควรหลีกเลี่ยงหรือต้องให้เด็กดื่มน้ำเป็นระยะๆ

      การออกกำลังกายในวัยผู้สูงอายุ
      วัยผู้สูงอายุเป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมสภาพลง  การออกกำลังกายจะช่วยชะลอการเสื่อมของร่างกายได้ รักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์  แข็งแรง  ยืดอายุของชีวิต  และช่วยพัฒนาร่างกาย  ดังนี้
1. ความดันโลหิตลดลง
2. อัตราการเต้นของหัวใจลดลง
3. ปอดทำงานได้ดีขึ้น
4. ข้อต่อต่างๆ จะแข็งแรงขึ้น
5. กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
6. ป้องกันโรคหัวใจ  ไขข้ออักเสบ  คอเลสเตอรอลสูง

      ความหนักของการออกกำลังกาย
1. ความเหนื่อยเบาถึงปานกลางหรือ  50-70  %  ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด

      ความนานของการออกกำลังกาย
1. อบอุ่นร่างกาย  และยืดเหยียดกล้ามเนื้อ  5-10  นาที
2. ออกกำลังกายติดต่อกัน  15-35  นาที
3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ  5-10  นาที

       ข้อแนะนำการออกกำลังกาย
1. เริ่มต้นออกกำลังกายจากช้าไปหาเร็ว  เช่น  เดินช้า  และเดินเร็ว ขึ้นเรื่อยๆ
2. เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย  เช่น  มีอาการปวดเข่า  ปวดหลัง  ควรเลือกกิจกรรมในน้ำ  ขี่จักรยาน  การบริหารข้อเข่า
3. ไม่ควรกลั้นหายใจในการออกกำลังกาย
4. เลือกกิจกรรมที่ทำติดต่อได้อย่างสม่ำเสมอ
5. เลือกกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสนุกสนาน
6. ควรมีเพื่อนหรือคนในครอบครัวร่วมออกกำลังกายด้วย
7. เมื่อรู้สึกเวียนศีรษะ  ตามัว  หูอื้อ  ใจสั่น  หายใจไม่ทัน  เจ็บหน้าอก  ต้องหยุดการออกกำลังกายทันที
8. ผู้ที่มีโรคประจำตัว  เช่น  หอบหืด  โรคหัวใจ  โรคเบาหวาน  ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

     ที่มา: คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและสุขภาพ  สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชุมพร
     ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

งาขี้ม่อน คุณภาพคับแก้ว


          หากใครที่เป็นชาวเหนือ คงจะรู้จัก “งาขี้ม่อน” กันเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก มีของดีเม็ดเล็กๆ จะมากระซิบบอกกัน

          เพราะ “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” มีสรรพคุณทางยามากมาย แต่ก่อนอื่นนั้น เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักเจ้างาขี้ม่อนกันก่อน

         “งาขี้ม่อน” หรือ “งาม้อน” เป็นพืชจำพวกเดียวกับกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก พบว่าปลูกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว เมล็ดของงาขี้ม่อนจะมีขนาดเล็กๆ กลมๆ ขนาดใกล้เคียงกับเมล็ดงา คนภาคเหนือจะนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ทำเป็นงาขี้ม่อนแผ่น (คล้ายๆ กับถั่วตัด) นำไปคั่ว นำไปคลุกกับข้าวเหนียว หรือผสมกับข้าวหลามเป็นข้าวหลามงาขี้ม่อน แล้วก็ยังมีการนำมาทำเป็นชางาขี้ม่อน หรือในช่วงหลังๆ มีการดัดแปลงนำมาทำเป็นคุกกี้งาขี้ม่อน ทำให้สามารถหากินได้ง่ายมากขึ้น

          “งาขี้ม่อน” มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยวิตามินบี และมีสารเซซามอล ที่เชื่อกันว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งและทำให้ร่างกายแก่ช้าลง

          สรรพคุณของงาขี้ม่อน หากกินเมล็ดจะช่วยชูกำลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องผูก ลดไขมันในเลือด ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา เป็นยาระบาย ลดบวม ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์

          นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยออกมาล่าสุด พบว่า ในน้ำมันงาขี้ม่อน มีทั้งโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย หากพูดถึงโอเมก้า 3 หลายคนอาจจะนึกถึงน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกที่มีสรรพคุณช่วยบำรุง สมอง แต่คนที่อยู่ตามยอดดอยต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลทะเล ก็ไม่ได้ขาดโอเมก้า 3 เพราะว่าได้รับมาจากงาขี้ม่อนนั่นเอง

         ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์
         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

คุณประโยชน์จากข้าวกล้อง


          หากเรารับประทานข้าวกล้องจะได้ วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร ได้วิตามินบี 1

          หากเรารับประทานข้าวกล้องจะได้ วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ ได้วิตามิน บี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีคอเลสเตอรอล  ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)  ได้ คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย  ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

         
          ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์
            ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

สรรพคุณทางยาของดอกมะพร้าว


          มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย

          มะพร้าวเป็นพืชที่มีข้อดีมากมาย เป็นที่รู้จักของผู้คนโดยทั่วไป ส่วนต่าง ๆ ของมะพร้าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า สามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย  ตั้งแต่ลำต้น ใบ ก้าน ผล กะลา รกมะพร้าว กาบมะพร้าว รากมะพร้าว ไปจนถึงดอกมะพร้าว ซึ่งมีรสฝาดหวานหอม และนอก เหนือจากนำมาทำน้ำหวานแล้วก็ยังสามารถนำมาสกัดเพื่อประโยชน์ในการรักษาอาการ ไข้  แก้ท้องเดิน  แก้ร้อนใน กระหายน้ำ  กล่อมเสมหะ  บำรุงเลือด แก้ปากเปื่อย เป็นต้น


          ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์
           ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ข้าวกล้องงอก ต้านโรคอัลไซเมอร์



          การบริโภคข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์

          จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การ บริโภคข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ ดังนั้นจึงมีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบ ประสาทต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่า ข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบามีผลช่วยลดความดันโลหิต ลดไลโปรตีน คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำในเลือด ลดน้ำหนัก ลดอาการอัลไซเมอร์ ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีกด้วย


          ที่มา: เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์
           ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

น้ำเสาวรส ลดการอักเสบในผู้สูงอายุ


         เสาวรสเป็นผลไม้เขตร้อนที่สามารถรับประทานผลสดได้ ทางการแพทย์เสาวรสมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์ ใบจะมีสารกลุ่มอัลคาลอยด์ และฮาร์แมน ใช้ลดความดันโลหิต ดอกมีฤทธิ์เป็นยาระงับประสาทอย่างอ่อน ช่วยให้นอนหลับ เสาวรสมีวิตามินเอสูง ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีแคโรทีนอยด์และวิตามินซีสูงกว่ามะนาว ที่สำคัญสารสกัดจากเสาวรสมีฤทธิ์ช่วยต้านมะเร็ง
 
          ที่ผ่านมา ยังมีรายงานเกี่ยวกับเสาวรสในเรื่องผลของการบริโภคต่อสุขภาพผู้สูงอายุไม่มากนัก ดังนั้น สำนัก งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงสนับสนุนโครงการวิจัยเรื่อง "ผลของน้ำเสาวรสต่อการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบในผู้สูงอายุ" มี ดร.ศุภวัชร สิงห์ทอง สังกัดคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็น หัวหน้าศึกษาสารออกฤทธิ์ของเสาวรสชนิดเปลือกสีม่วงและสีเหลืองในหลอดทดลอง และศึกษาผลการดื่มน้ำเสาวรสต่อความสามารถต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุ

          ดร.ศุภวัชรเปิดเผยว่า เมื่อนำเสาวรสชนิดเปลือกสีเหลืองและสีม่วงมาสกัดด้วยน้ำ และ 80% เอทานอล แล้วตรวจหาสารออกฤทธิ์สำคัญ พบว่าเสาวรสทั้ง 2 ชนิด มีสารรูติน (สารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติผลึกสีเหลือง) ไพโรแกลลอล (สารประกอบฟีนอลชนิดหนึ่ง) และกรดแกลลิก และพบว่า เสาวรส เปลือกสีเหลืองที่สกัดด้วย 80% เอทานอล มีปริมาณฟีนอลิกสูงที่สุด ยับยั้งอนุมูลไฮดรอกซีได้ดีที่สุด ส่วนเสาวรสเปลือกสีม่วงที่สกัดด้วย 80% เอทานอล มีฟลาโวนอยด์และมีฤทธิ์กำจัด ไนตริกออกไซด์สูงที่สุด เสาวรสเปลือกม่วงที่สกัดด้วยน้ำกลั่นมีฤทธิ์กำจัดไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์สูง ที่สุด

          สำหรับการศึกษาในผู้สูงอายุพบว่า ชาย และหญิงสูงอายุ ที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วงและเปลือกเหลือง มีตามินซีในซีรัมลดลงหลังการดื่มอย่างมีนัยทางสถิติ ส่วนฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยรวมพบว่า ในหญิงสูงอายุมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น เมื่อดื่มน้ำเสารสทั้งสองชนิด ขณะที่ปริมาณไซโตไคน์ ซึ่งเป็นสารสื่อกลางการอักเสบลดลงในชายสูงอายุ ที่ดื่มน้ำเสาวรสทั้งสองชนิดและในหญิงสูงอายุที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วง และ ปัจจัยที่เป็นเนื้อร้าย เนื้องอกลดระดับลงอย่างมีนัยสำคัญในชายสูงอายุ ที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกสีเหลืองและหญิงสูงอายุที่ดื่มน้ำเสาวรสเปลือกม่วง ตรงกับการศึกษาว่า สารฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

          งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านผลไม้ไทย เพื่อนำมาช่วยส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ให้ประชาชนปลูกและบริโภคเสาวรสกันมากขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

นอนน้อย ทำให้สมองหด


          มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ศึกษาพบเรื่องอันน่าตกใจว่า ปัญหาต่างๆของการนอน อาจทำให้ขนาดของสมองห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของการนอนนั้น ถูกถือว่าเป็นแม่บ้านของสมองในการซ่อมแซมและซ่อมสร้าง

          "คณะวิจัยได้ศึกษาจากผู้ใหญ่ วัยระหว่าง 20-84 ปี จำนวน 147 คน เพื่อหาความเกี่ยวพันระหว่างปัญหาการนอน ตั้งแต่การนอนหลับยาก หรือการอดหลับอดนอนอยู่จนดึกกับขนาดของสมองพวกเขาพบว่า ปัญหาการนอนต่างๆ เกี่ยวพันกับการหดตัวของสมองอย่างรวดเร็ว ทั้งสมองบริเวณด้านข้าง ด้านขมับ ด้านหน้าผากไปทั่ว"

          ที่มา : เว็บไซด์ไทยรัฐออนไลน์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ความสัมพันธ์ของมะเร็งกับยกทรง


          วารสารสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งอเมริกัน แจ้งว่า “การศึกษาตามความต้องการของประชาชน ต้องการให้พิสูจน์หาความ เกี่ยวพันระหว่างการสวมใส่ยกทรงของผู้หญิงวัยทอง ว่ามีส่วน เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งทรวงอกเพิ่มขึ้นหรือไม่”

          คณบดีคณะวิทยาการโรคระบาด มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ประมาณว่า “การศึกษาของเรา ไม่ค้นพบเหตุว่า การสวมใส่ยกทรงของสตรี ยิ่งทำให้เสี่ยงกับโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเลย โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่า วันหนึ่งจะใส่มากน้อย สวมยกทรงแบบไหน หรือเริ่มใช้ยกทรงมาตั้งแต่อายุเท่าใด”

          คณบดีกล่าวว่า เคยมีสื่อมวลชนบางอย่าง อ้างว่า การสวมยกทรงจะเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น แต่การค้นพบครั้งใหม่นี้ กลับช่วยตอกย้ำกับหญิงที่สวมยกทรงว่า มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งแต่อย่างใดเลย ไม่ว่าจะเป็นวัยทองหรือปกติ


          ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ประโยชน์ที่ดีของ โยคะ

          โยคะเป็นการดูแลสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและฝึกปฏิบัติกันมาก เพราะส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจ

 
          ทางเลือกของการออกกำลังกายในทุกวันนี้ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเน้นในเรื่องการเผาผลาญไขมันในช่วงเวลาสั้นๆ การวิ่งมาราธอน การเต้นในรูปแบบต่างๆ ซึ่งก็อยู่ที่แต่ละคนจะเลือกตามความชอบ และเป้าหมายของการออกกำลังกาย กับอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ เป็นเรื่องการออกกำลังกายในรูปแบบของการฝึกโยคะ

          โยคะเป็นการดูแลสุขภาพอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและฝึกปฏิบัติกันมาก นอกจากจะเป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจแล้ว ยังมีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อและอวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร่างกายอีกด้วย ทั้งยังช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างกายเคลื่อนไหวได้ดี ไม่เกิดการติดขัด สามารถชะลอความเสื่อมของข้อต่อได้ สำหรับด้านจิตใจ การฝึกโยคะช่วยให้ผ่อนคลาย หายเครียด เพราะการปฏิบัติท่าต่างๆ จะเน้นการฝึกจิตให้จดจ่อกับการหายใจเข้าออก


 ประโยชน์ของโยคะ

          1. ดูเด็กลง - เวลาไปคลาสโยคะ เรามักจะเจอแต่คนที่หน้าดูอ่อนกว่าวัยกันทั้งนั้น เหตุผลสำคัญนั้นเป็นเพราะการฝึกโยคะจะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ประกอบกับท่วงท่าในการฝึกที่ต้องยืด เหยียด ที่ยิ่งช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวได้มากขึ้นไปอีก เมื่อเลือดไหลเวียนได้ดี ระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราก็ทำงานได้ดีตามไปด้วย นอกจากนั้นยังเน้นเรื่องการกำหนดลมหายใจ ทำให้ออกซิเจนเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ เลือดก็นำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างสะดวก ทั้งยังมีส่วนในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ผิวพรรณจึงดูสวยเปล่งปลั่ง ดูเด็กไปถนัดตา

           2. อกเป็นอก เอวเป็นเอว - การฝึกโยคะในแต่ละท่านั้นจะมีการใช้กล้ามเนื้อทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ ซึ่งการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เป็นการใช้พลังงานส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ในรูปแบบของไขมัน ทำให้กล้ามเนื้อตึงกระชับ ทั้งท่าทางในการบิดตัวต่างๆ นั้นยังช่วยให้สัดส่วนของคุณสาวๆ กระชับเข้าที่

          3. สง่าทุกท่วงท่า - การฝึกโยคะนั้นนอกจากจะมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อแล้ว ยังเน้นเรื่องการทรงตัว และความสมดุล โดยเป็นการฝึกการกระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสมทั้งในส่วนของแขน ขา กล้ามเนื้อกระดูกสันหลัง รวมทั้งกระดูกข้อต่อที่จะได้รับการปรับให้เกิดความสมดุล จึงได้บุคลิกภาพที่ดีเป็นของแถมมาจากการฝึกโยคะอีกด้วย
  
          4. สดใสไร้เครียด - ก่อนจะฝึกโยคะทุกครั้งจำเป็นต้องมีการผ่อนคลายจากความคิด ความกังวลใจต่างๆ เพื่อให้มีสมาธิจดจ่อกับการฝึกในท่วงท่าต่างๆ โดยเริ่มต้นจากการฝึกการหายใจเข้า และออกให้ปอดสามารถเก็บลมได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้ปอดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การฝึกกำหนดลมหายใจนี้ เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดต่างๆ และยังมีผลระยะยาวที่ทำให้จิตใจเยือกเย็นลง ไม่โกรธง่าย ไม่โมโหฉุนเฉียวง่ายอีกด้วย เมื่อเราห่างไกลจากความเครียดอารมณ์ก็จะผ่องใส ยิ้ม และหัวเราะได้มากขึ้น

          5. สมองโปร่ง สมาธิดี - ผลจากการฝึกลมหายใจเป็นการเพิ่มออกซิเจนที่จะไปช่วยเลี้ยงสมองค่ะ นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกจิตใจรูปแบบหนึ่งทำให้เราเกิดสมาธิที่ดี รวมไปถึงการฝึกโยคะท่าต่างๆ นั้นจะทำให้ผู้ฝึกมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลาต่อเนื่อง
          และหากมีการฝึกโยคะเป็นประจำจะทำให้ผู้ฝึกมีสมาธิอยู่กับตนเอง ทั้งในท่าทาง และอิริยาบทในการเคลื่อนไหวของตนเองตลอดเวลา ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อมีสติ เกิดสมาธิ นำไปสู่ปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายนั่นเอง
          เรื่องราวดีๆ และประโยชน์จากการฝึกโยคะยังมีอีกมาก แต่เพียงที่นำเอามาฝากวันนี้ก็น่าที่จะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้เรา ไม่อยากพลาดการออกกำลังกายในรูปแบบนี้กันแล้ว


          ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต